คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4800/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจำเลยที่ 3 กำหนดเขตเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินแปลงใด ย่อมทำให้สิทธิต่าง ๆ ที่เกิดจากกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวถูกจำกัดตัดรอน ผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกเขตเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์อยู่ในขณะดำเนินการสำรวจเพื่อดำเนินการก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงหรือผู้ที่รับโอนกรรมสิทธิ์มาภายหลังดำเนินการสำรวจแล้ว ก็ถูกจำกัดตัดรอนสิทธิเหมือนกัน เมื่อจำเลยที่ 3 ยังไม่ได้จ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของเดิม และโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 3 จะเข้าไปใช้ที่ดินพิพาท โจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจึงเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 30(1) โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3
พระราชบัญญัติบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2511 มาตรา 30 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2535 มีเจตนารมณ์เหมือนกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21วรรคหนึ่ง ซึ่งต่างมุ่งประสงค์ที่จะให้มีการจ่ายเงินค่าทดแทนให้เป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือผู้ทรงสิทธิอื่น แต่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 30 ไม่ได้บัญญัติถึงรายละเอียดของหลักเกณฑ์ที่จะให้นำมาใช้คำนึงในการกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนอย่างเป็นธรรมไว้เหมือนอย่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ดังนี้ การที่จะกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรมตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2511 มาตรา 30 ควรคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ในทำนองเดียวกันกับที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) เพื่อใช้เป็นฐานในการกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือผู้ทรงสิทธิอื่นด้วย การที่คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนฯ กำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทโดยใช้ราคาประเมินที่ดินของกรมที่ดินตามบัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของสำนักงานที่ดินเป็นฐานในการคำนวณเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทเพียงประการเดียวยังไม่เพียงพอให้ฟังได้ว่าเป็นราคาที่แท้จริงของที่ดินพิพาท จึงยังฟังไม่ได้ว่าเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทที่คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนฯ กำหนดนั้นเป็นธรรมแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 47810มีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ซึ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาจากจำเลยที่ 1 และที่ 2ด้วยการจดทะเบียนขายฝากที่ดิน มีกำหนด 1 ปี ในราคารับซื้อฝากเป็นเงิน1,330,000 บาท เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2536 ต่อมาเมื่อครบกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้มาทำการไถ่ถอนการขายฝากที่ดินจากโจทก์ ที่ดินจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2537เป็นต้นมา ต่อมาประมาณปี 2539 โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 3 ได้ดำเนินการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงขนาด 500 กิโลโวลต์ พาดผ่านที่ดินของโจทก์โจทก์ได้ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 จึงทราบว่าจำเลยที่ 3 เคยมีหนังสือชี้แจงแก่เจ้าของที่ดินและผู้ครอบครองถึงข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า การกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้า ข้อห้ามกระทำการต่าง ๆในเขตเดินสายไฟฟ้า และการกำหนดเงินค่าทดแทนและยังแจ้งให้โจทก์ทราบอีกว่าจำเลยที่ 3 ได้เคยออกสำรวจประเมินราคาสภาพแห่งที่ดินของโจทก์ที่ถูกสายส่งไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านเพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดเงินค่าทดแทนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2536 จากการสำรวจที่ดินดังกล่าว ที่ดินของโจทก์มีสภาพเป็นที่นา ถูกสายส่งไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านไม่สามารถทำประโยชน์บนที่ดินได้คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 1 งาน 17.5 ตารางวา และคณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนฯ ของจำเลยที่ 3 มีมติให้จ่ายเงินค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 50 ของราคาประเมินที่ดิน ที่ดินดังกล่าวมีราคาประเมินไร่ละ400,000 บาท คิดเป็นเงินค่าทดแทนทั้งสิ้น 258,750 บาท โดยจำเลยที่ 3จะจ่ายเงินค่าทดแทนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะเจ้าของที่ดินเดิมเท่านั้น แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากจำเลยที่ 3ทั้งจำเลยที่ 3 ยังได้ปฏิเสธสิทธิเรียกร้องของโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการโอนสิทธิในที่ดิน และให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินค่าทดแทนแก่โจทก์แต่เพียงผู้เดียว โดยโจทก์สงวนสิทธิเรียกร้องเงินค่าทดแทนที่ไม่เป็นธรรมไว้ด้วย จำเลยที่ 3 ได้รับหนังสือแล้ว ได้มีหนังสือตอบปฏิเสธมายังโจทก์เงินค่าทดแทนจำนวน 258,750 บาท นั้น ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ที่ดินตามฟ้องของโจทก์ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ที่สามารถก่อสร้างเป็นโรงงานอุตสาหกรรมได้และโจทก์จะไปลงทุนก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมบนที่ดินแปลงดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหายและขาดประโยชน์จากการถูกรอนสิทธิ โจทก์จึงขอคิดค่าเสียหายเป็นเงินค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามเป็นเงิน 2,000,000บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 2,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ดำเนินการก่อสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงขนาด 500 กิโลโวลต์ ช่วงไทรน้อย-หนองจอก โดยจะจ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินขณะเข้าสำรวจทำประโยชน์ที่ดิน ต่อมาจำเลยที่ 3 เข้าสำรวจที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2536 ปรากฏว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์คือจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งมีสิทธิจะได้รับเงินค่าทดแทนจากจำเลยที่ 3โจทก์ได้ซื้อฝากที่ดินพิพาทโดยจดทะเบียนเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2536 ซึ่งเป็นวันหลังจากที่จำเลยที่ 3 ได้เข้าสำรวจเพื่อจ่ายเงินค่าทดแทน โจทก์จึงไม่มีสิทธิโต้แย้งหรือเรียกร้องเงินค่าทดแทนจากจำเลยที่ 3 ทั้งนี้การกระทำของจำเลยที่ 3เป็นไปตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511และแก้ไขโดยพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2535โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ในการดำเนินการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าดังกล่าวจำเลยที่ 3 ได้ประกาศกำหนดเขตสำรวจสายส่งไฟฟ้าและกำหนดเขตเดินสายส่งไฟฟ้า เพื่อให้เจ้าของทรัพย์สินที่ถูกเขตเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่าน ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทราบทั่วกันแล้ว โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์หรือเจ้าของรายอื่นก่อนตามมาตรา 28 และ 29 ของพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 และตามมาตรา 30 และ 30 ทวิแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้เจ้าของกรรมสิทธิ์รายอื่นรวมทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรม การจ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินในท้องที่จังหวัดนนทบุรีที่ถูกเขตเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่าน ดำเนินการโดยคณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินจังหวัดนนทบุรี ร่วมประชุมกันพิจารณาและมีมติกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าทดแทนทรัพย์สินให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินทุกราย รวมทั้งเจ้าของที่ดินพิพาท ดังนี้สำหรับเงินค่าทดแทนที่ดินนั้นให้ใช้ราคาที่ดินตามบัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ. 2538 เป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินค่าทดแทนที่ดิน เพราะมิได้มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่ถูกเขตส่งไฟฟ้าพาดผ่าน ในทางปฏิบัติจึงไม่จ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินให้เต็มราคาประเมิน แต่จะจ่ายให้เป็นอัตราร้อยละของราคาประเมินที่ดินที่กำหนด ได้แก่ ที่ตั้งเสาไฟฟ้า จ่ายให้เต็มร้อยละ 100ของราคาประเมินที่ดิน ที่นาจ่ายให้ร้อยละ 50 ของราคาประเมินที่ดินเป็นต้น สำหรับที่ดินพิพาทที่โจทก์รับซื้อฝากมา และจำเลยที่ 3 ได้เข้าดำเนินการก่อสร้างเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านเป็นที่ดินประเภทที่นาเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 17.5 ตารางวานั้น คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินจังหวัดนนทบุรีมีมติให้จ่ายค่าทดแทนการใช้ที่ดินแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2จำนวน 258,750 บาท โดยคิดราคาประเมินที่ดินไร่ละ 400,000 บาทการที่จำเลยที่ 3 เดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านเหนือที่ดินของโจทก์นั้น มิใช่เป็นการเข้าไปครอบครองโดยแบ่งแยกการครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวไปจากโจทก์กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของโจทก์อยู่ แต่โจทก์เสียสิทธิเกี่ยวกับการใช้ที่ดินไปบ้างขณะจำเลยที่ 3 เข้าสำรวจกรรมสิทธิ์เพื่อจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทนั้นกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ลักษณะที่ดินเป็นที่ทำนาไม่มีโครงการจัดสรร โจทก์ผู้รับซื้อฝากและจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขายฝากรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 3 จะก่อสร้างสายส่งดังกล่าว ก็ยังทำการซื้อขายฝากกันอีกเช่นนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และที่ดินพิพาทนี้ไม่อยู่ในเขตจะตั้งโรงงานอุตสาหกรรมได้ ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนฯได้มีมติให้จำเลยที่ 3 จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเงิน258,750 บาท นั้น ได้พิจารณาจากหลักเกณฑ์การคำนวณค่าทดแทนความเสียหายในขณะเวลาที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับความเสียหายซึ่งมิใช่โจทก์ ส่วนเงินค่าทดแทนที่ดินที่โจทก์เรียกร้องจำนวน 2,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นนั้นสูงกว่าความจริงมาก เป็นการกำหนดขึ้นมาเองโดยไม่มีหลักเกณฑ์ และความเป็นธรรมตามกฎหมาย จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดหรือร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชดใช้เงินจำนวน 2,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 3 ได้ปฏิบัติตามกฎหมายพิเศษ คือพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 ย่อมไม่เป็นละเมิดหรือรอนสิทธิใด ๆ แก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้เงินค่ารอนสิทธิแก่โจทก์ 400,000 บาท และให้จำเลยที่ 3 จ่ายเงินค่าทดแทนให้โจทก์อีก400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละอย่างนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือจำเลยที่ 3 จะชำระเงินเสร็จ

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 47810 ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ เดิมเป็นของจำเลยที่ 1และที่ 2 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2536 จำเลยที่ 3 เข้าสำรวจเพื่อดำเนินการก่อสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงช่วงไทรน้อย-หนองจอก ปรากฏว่าที่ดินแปลงดังกล่าวถูกเขตเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านเป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 17.5 ตารางวา วันที่ 7 กันยายน 2536 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 47810 ไว้แก่โจทก์โดยมิได้ไถ่ถอนภายในกำหนด จำเลยที่ 3จะจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทซึ่งถูกเขตเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านให้แก่เจ้าของที่ดินโดยถือราคาที่กำหนดในบัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ. 2538 ในราคาไร่ละ 400,000 บาท เป็นฐานในการคำนวณโดยจะจ่ายให้ร้อยละ 50 ของราคาดังกล่าวคิดเป็นเงิน 258,750 บาท โจทก์เรียกให้จำเลยที่ 3 จ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 3 อ้างว่าโจทก์มิใช่เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 47810ในขณะจำเลยที่ 3 เข้าใช้ประโยชน์จึงไม่อาจพิจารณาจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ได้

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 3 ประการแรกว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 หรือไม่โดยจำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2511 มาตรา 30 ให้จำเลยที่ 3 จ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือผู้ทรงสิทธิอื่น ในเมื่อโจทก์มิใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในขณะที่จำเลยที่ 3 ดำเนินการเพื่อใช้ที่ดิน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนดังกล่าว ในข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 กำหนดเขตเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินแปลงใด ย่อมทำให้สิทธิต่าง ๆที่เกิดจากกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวถูกจำกัดตัดรอน ผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกเขตเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านไม่ว่าจะเป็นเจ้าของที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์อยู่ในขณะดำเนินการสำรวจเพื่อดำเนินการก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงหรือผู้ที่รับโอนกรรมสิทธิ์มาภายหลังดำเนินการสำรวจแล้วก็ถูกจำกัดตัดรอนสิทธิเหมือนกัน ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 3 ยังไม่ได้จ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของเดิม และโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 3จะเข้าไปใช้ที่ดินพิพาท ดังนี้ โจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจึงเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 30(1) โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3

จำเลยที่ 3 ฎีกาต่อไปว่าเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 3กำหนดจำนวน 258,750 บาท เป็นธรรมแล้ว ในข้อนี้ได้ความในเบื้องต้นว่าจำเลยที่ 3 กำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนที่ตีราคาที่ดินโฉนดเลขที่ 47810 ไร่ละ400,000 บาท และกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทให้ร้อยละ 50ของราคาดังกล่าวข้อวินิจฉัยในส่วนนี้จึงอยู่ที่ว่าราคาที่ดินโฉนดเลขที่ 47810ที่คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนฯ ตีราคาไร่ละ 400,000 บาท ต่ำเกินไปหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2511 มาตรา 30 มีเจตนารมณ์เหมือนกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ซึ่งต่างมุ่งประสงค์ที่จะให้มีการจ่ายเงินค่าทดแทนให้เป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือผู้ทรงสิทธิอื่น โดยพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 30 บัญญัติไว้กว้าง ๆ ว่าให้จำเลยที่ 3จ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรม ไม่ได้บัญญัติถึงรายละเอียดของหลักเกณฑ์ที่จะให้นำมาใช้คำนึงในการกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนอย่างเป็นธรรมไว้เหมือนอย่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติหลักเกณฑ์ไว้ว่าให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1) ถึง (5) ดังนี้ การที่จะกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรมตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2511 มาตรา 30 ได้นั้น ควรคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ในทำนองเดียวกันกับที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) เพื่อใช้เป็นฐานในการกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือผู้ทรงสิทธิอื่นด้วย ได้ความตามทางนำสืบของจำเลยที่ 3 ว่า คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนฯ กำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทโดยใช้ราคาประเมินที่ดินของกรมที่ดินตามบัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ. 2538 เป็นฐานในการคำนวณเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทเพียงประการเดียวยังไม่เพียงพอให้ฟังได้ว่าเป็นราคาที่แท้จริงของที่ดินพิพาท จึงยังฟังไม่ได้ว่าเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทที่คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนฯ กำหนดนั้นเป็นธรรมแล้ว ส่วนโจทก์นำสืบโดยมีตัวโจทก์และนางประไพ เกียรติสุดา ซึ่งเป็นภริยาโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เสนอขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 47810 เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ไว้แก่โจทก์ ในราคา 1,300,000 บาทกำหนดไถ่ถอน 1 ปี ตกลงไถ่ถอนเป็นเงิน 1,330,000 บาท ตามสำเนาโฉนดที่ดินและสำเนาหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4ซึ่งข้อนี้ไม่มีพยานจำเลยที่ 3 ปากใดเบิกความปฏิเสธ จึงฟังได้ดังที่โจทก์และนางประไพเบิกความ และเนื่องจากการขายฝากเป็นการขายภายใต้เงื่อนไขให้ผู้ขายใช้สิทธิไถ่ถอนได้ ผู้ซื้อและผู้ขายจึงน่าจะกำหนดราคาไว้ต่ำกว่าราคาซื้อขายในท้องตลาด เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับโจทก์ตกลงขายฝากกันเป็นจำนวนเงินถึง 1,300,000 บาท เช่นนี้ แสดงว่าราคาซื้อขายในท้องตลาดขณะนั้นน่าจะสูงกว่าไร่ละ 650,000 บาทที่คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนฯ โดยตีราคาที่ดินโฉนดเลขที่ 47810ไร่ละ 400,000 บาท เป็นฐานในการคำนวณเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทจึงต่ำเกินไป เงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่กำหนดให้ 400,000 บาท นับว่าใกล้เคียงกับจำนวนร้อยละ 50 ของราคาซื้อขายในท้องตลาดขณะนั้นนับว่าเป็นธรรมแล้ว”

พิพากษายืน

Share