แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของโจทก์แม้จะวินิจฉัยให้ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยให้
จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 500,000 บาทโดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ต่างทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ในวงเงินดังกล่าวให้ไว้แก่โจทก์คนละฉบับ ดังนี้ เป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 ซึ่งผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หาใช่แยกความรับผิดกันไม่
กรณีดังกล่าวแม้หนี้ของจำเลยที่ 1 จะมีจำนวนเกินกว่า 500,000 บาท จำเลยอื่นซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหาต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญารับชำระหนี้ในส่วนที่เกินกว่า 500,000 บาทไม่ แต่ถ้าผิดนัดต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันผิดนัด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามสัญญารับชำระหนี้จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี และหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน ๗๗๙,๕๘๘.๐๗ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปีแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ ๒ – ๔ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดในวงเงินคนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี ถ้าจำเลยไม่ชำระก็ขอให้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่พอก็ให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้จนครบ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสูงกว่าความจริง ส่วนหนี้ตามสัญญารับชำระหนี้ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้ทำสัญญาค้ำประกัน
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ค้ำประกันเฉพาะหนี้ตามสัญญารับชำระหนี้และเป็นการค้ำประกันร่วม หากจะต้องรับผิดก็ร่วมกันรับผิดไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกจำนวน ๖๓๘,๖๙๕.๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ และชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน ๗๗๙,๕๘๘.๐๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี ให้จำเลยที่ ๒ – ๔ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ รับผิดในต้นเงินไม่เกินคนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า ตามสัญญค้ำประกันจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดในหนี้เบิกเงินเกินบัญชีด้วยนั้น เห็นว่าสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นสัญญาค้ำประกันจำกัดความรับผิดในวงเงินไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท หนี้ของจำเลยที่ ๑ เฉพาะในประเภทสินเชื่อเพื่อส่งสินค้าออกตามสัญญารับชำระหนี้ที่ค้างชำระก็มีจำนวนเกินกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่อาจหลุดพ้นจากสัญญาค้ำประกันดังกล่าวอยู่แล้ว ฎีกาของโจทก์แม้จะวินิจฉัยให้ก็จะไม่เป็นประโยชน์แก่โจทก์แต่ประการใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยผู้ค้ำประกันจะต้องแยกกันรับผิดหรือจะต้องรับผิดร่วมกันนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญารับชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ต่างทำหนังสือค้ำประกันให้ไว้แก่โจทก์คนละฉบับ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า เป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๒ จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะต้องมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หาใช่แยกความรับผิดอย่างที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังขึ้น
สำหรับฎีกาของจำเลยในเรื่องดอกเบี้ยนั้น เห็นว่าสัญญาค้ำประกันทั้ง ๓ ฉบับของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นสัญญาค้ำประกันจำกัดความรับผิดไม่เกินวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท หนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อการส่งสินค้าออกตามสัญญารับชำระหนี้ที่โจทก์ฟ้องมีจำนวนเงินเกินกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงหาต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญารับชำระหนี้ในส่วนที่เกินกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาทไม่ อย่างไรก็ดีแม้จำเลยจะไม่ต้องรับผิดเกินกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่ถ้าหากจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันผิดนัดก็จะต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันผิดนัด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทางถามแล้วจำเลยที่ ๓ ผิดนัดวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๔ ผิดนัดวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๔ ดังนั้น จำเลยทั้งสองจะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๒๔ สำหรับจำเลยที่ ๓ และตั้งแต่วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๔ สำหรับจำเลยที่ ๔ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๔, ๒๒๔ ฎีกาจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๒๔ สำหรับจำเลยที่ ๓ และตั้งแต่วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๔ สำหรับจำเลยที่ ๔ จนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้มีผลถึงจำเลยที่ ๒ ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕, ๒๔๗ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์