คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4800/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 7 มีนาคม2534 มีความว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาททั้งปวงดังต่อไปนี้(1) ลูกจ้างตกลงยินยอมรับค่าชดเชยตามกฎหมายเนื่องจากบริษัทได้เลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2534 ไว้ตามจำนวนที่ตกลงกันถูกต้องแล้วในขณะทำสัญญานี้ (2) บริษัทตกลงยอมจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว (3) ลูกจ้างยอมรับว่าการที่บริษัทได้เลิกจ้างครั้งนี้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายและเป็นธรรมแล้ว (4) ลูกจ้างสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องหรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือเงินใด ๆ จากบริษัทอีก หมายความว่า ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นก่อนวันทำสัญญาระหว่างคู่กรณีที่มีอยู่นั้น ให้ถือตามความที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับเงินใด ๆ รวมทั้งค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดที่มีข้อพิพาทกันอยู่ก่อนวันทำสัญญานี้เป็นอันระงับไปโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิดในเงินดังกล่าวอีกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ่ายค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดให้แก่โจทก์แต่ละคนขาดไป เพราะจำเลยไม่นำค่าครองชีพซึ่งถือว่าเป็นค่าจ้างมารวมเป็นฐานในการคำนวณด้วย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินที่ขาดไปดังกล่าวให้แก่โจทก์ทุกคนพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะสิทธิเรียกร้องต่าง ๆระงับไปโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ และค่าครองชีพไม่ใช่ค่าจ้างไม่ต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่ร้อยสิบเจ็ดสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่ร้อยสิบเจ็ดสำนวนอุทธรณ์ว่าตามเอกสารหมาย ล.1 นั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์แต่ละคนที่จะเรียกให้จำเลยชำระเงินค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดตามที่ฟ้องยังไม่ระงับไป โจทก์ทุกคนจึงมีอำนาจฟ้อง พิเคราะห์แล้วตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.1 มีความว่า “…ทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาททั้งปวงดังต่อไปนี้
1. ลูกจ้างตกลงยินยอมรับค่าชดเชยตามกฎหมายเนื่องจากบริษัทได้เลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2534 เป็นจำนวน…..บาท(ตามจำนวนที่โจทก์แต่ละคนตกลง) และข้าพเจ้าได้รับเงินไว้ถูกต้องเรียบร้อยแล้วในขณะทำสัญญานี้
2. บริษัทฯ ตกลงยอมจ่ายค่าชดเชยดังกล่าวตามข้อ 1
3. ลูกจ้างยอมรับว่าการที่บริษัทฯ ได้เลิกจ้างข้าพเจ้าในครั้งนี้เป็นการเลิกจ้างโดยถูกต้องตามกฎหมายซึ่งเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม และเป็นการกระทำที่เป็นธรรมแก่ข้าพเจ้าแล้ว
4. ลูกจ้างสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องหรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือเงินใด ๆ จากบริษัทฯ อีก…”
ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องว่า ค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดที่โจทก์ทุกคนเรียกร้องมานั้นเป็นค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดที่มีมาก่อนวันที่ 7 มีนาคม 2524 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทุกคนได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย ล.1 กับจำเลยดังนั้นตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความตอนต้นที่ว่า”ทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาททั้งปวง” นั้น จึงหมายความว่าข้อพิพาทที่เกิดขึ้นก่อนวันทำสัญญาระหว่างคู่กรณีที่มีอยู่นั้นให้ถือตามความที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ซึ่งในสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยตกลงจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทุกคนตามจำนวนที่ตกลงกัน และโจทก์ทุกคนได้ตกลงไว้ในสัญญาข้อ 4 ว่าจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือเรียกเงินใด ๆ จากจำเลยอีกเช่นนี้ กรณีจึงเป็นที่เห็นได้ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ทุกคนเกี่ยวกับเงินใด ๆ รวมทั้งค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดที่มีข้อพิพาทกันอยู่ก่อนวันทำสัญญานี้นั้นเป็นอันระงับไปโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย ล.1 ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะรื้อฟื้นสิทธิที่ระงับไปแล้วตามกฎหมายขึ้นมาฟ้องร้องบังคับให้จำเลยรับผิดอีกได้ ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ทุกคนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share