แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จะให้จำเลยสืบพยานไปและได้ความตามที่จำเลยอ้าง ก็ไม่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรงในคดีกับเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งมีน้ำหนักน้อย หากจะให้นำเข้าสืบ ก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งงดสืบพยานดังกล่าวเสียได้ จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ โจทก์สมคบกับบุคคลอื่นทำสัญญากู้เงินขึ้นและลงลายมือชื่อของจำเลย แต่กลับนำสืบว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้ตามสัญญากู้เงินเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ลงไว้ในกระดาษเปล่าตอนกู้เงินจากบุคคลอื่นเป็นการนำสืบปฏิเสธนอกคำให้การ ไม่อาจรับฟังได้ ข้อที่จำเลยฎีกาว่าลายมือเขียนในสำเนาเอกสารแนบท้ายฎีกาเป็นลายมือเขียนของโจทก์แตกต่างกับลายมือเขียนในสัญญากู้เงินซึ่งโจทก์นำสืบว่าโจทก์เป็นผู้เขียนนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน77,972.60 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ไม่เคยกู้และรับเงินจำนวน50,000 บาท จากโจทก์ โจทก์สมคบกับบุคคลอื่นทำสัญญากู้เงินขึ้น และลงลายมือชื่อของจำเลยสัญญากู้เงินท้ายฟ้องจึงเป็นเอกสารปลอมโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 50,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า ศาลชั้นต้นงดสืบนายสุทิน อื้อตระกูลพยานจำเลยเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าแม้ศาลชั้นต้นจะให้สืบนายสุทินแล้วได้ความว่านายอินทร์ เพ็งกาล พยานโจทก์เล่าให้นายสุทินฟังว่าตนเองเคยลงลายมือชื่อไว้ในสัญญากู้เงินระหว่างจำเลยกับนายอานชาไธสง พยานโจทก์อีกปากหนึ่งตามที่จำเลยอ้างก็ตาม แต่ไม่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรงของคดีนี้ ทั้งนายอินทร์มิได้ยอมรับว่าเป็นเสียงของตนในแถบบันทึกเสียงที่จำเลยอ้างว่านายสุทินเป็นผู้บันทึก และนายอินทร์ก็ได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ จำเลยมีโอกาสซักค้านนายอินทร์ได้อยู่แล้ว ส่วนนายสุทินเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งมีน้ำหนักน้อยหากจะให้จำเลยนำนายสุทินเข้าสืบ ก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบนายสุทินพยานจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นพ้องด้วยนั้นเป็นการชอบแล้ว…
ปัญหาสุดท้ายมีว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่…พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความสอดคล้องต้องกันมีเหตุผล ไม่เป็นพิรุธดังที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด ส่วนจำเลยได้นำสืบปฏิเสะนอกคำให้การไม่อาจรับฟังได้ (จำเลยนำสืบว่า ลายมือชื่อในช่องผู้กู้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นลายมือชื่อของจำเลยโดยจำเลยลงลายมือชื่อไว้ในกระดาษเปล่า) และข้อที่จำเลยฎีกาว่าลายมือเขียนในสำเนาเอกสาร 2 ฉบับที่จำเลยแนบมาท้ายฎีกา โดยอ้างว่าเป็นลายมือเขียนของโจทก์แตกต่างกับลายมือเขียนในเอกสารหมาย จ.1 เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยได้กู้เงินและรับเงินกู้จากโจทก์ตามฟ้องจริง…”
พิพากษายืน.