คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะไปทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะมีอุปสรรค เนื่องจากที่พิพาทติดจำนอง และโจทก์ไม่ยอมไปไถ่ถอนจำนองให้ก่อนตามที่ได้ตกลงกันไว้ ถือว่าสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจะซื้อขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แม้สัญญาจะซื้อขายจะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายจะต้องรับผิดเป็นสำคัญ แต่จำเลยก็ได้ชำระราคาค่าที่พิพาทให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ซึ่งการชำระราคาครบถ้วนย่อมมีน้ำหนักดีกว่าการชำระราคาบางส่วนจึงถือได้ว่าการชำระหนี้ครบถ้วนเป็นการชำระหนี้บางส่วนได้โดยอนุโลมจำเลยจึงมีอำนาจฟ้องแย้งให้บังคับคดีแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่6781 ต่อมาโจทก์ได้ยกที่ดินแปลงนี้ทางด้านทิศใต้ให้จำเลย 1 ใน 3 ส่วนของเนื้อที่ทั้งหมด ต่อมาจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินส่วนของโจทก์ทางด้านทิศใต้เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่และนำปุ๋ยเข้าไปลงในที่ดินพร้อมทั้งนำไม้ปักทิ้งไว้ในบ่อปลาของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทร่วมกับโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 46 ตารางวา โดยโจทก์ได้รับเงินค่าตอบแทนจากจำเลย ส่วนโจทก์มีกรรมสิทธิ์เนื้อที่ 6 ไร่2 งาน 94 ตารางวา ต่อมาโจทก์ได้ขายที่ดินส่วนของโจทก์ให้จำเลยในราคา 50,000 บาท โจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยแล้ว และทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของโจทก์ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดยโสธรแทนโจทก์ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้โจทก์และจำเลยได้นำที่ดินพิพาทไปจำนองแก่ธนาคารจำเลยจึงขอให้โจทก์นำเงินไปไถ่ถอนจำนองแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยตามสัญญาแต่โจทก์ไม่ยอมกลับไปคัดค้านที่สำนักงานที่ดินจังหวัดยโสธร มิให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ตามใบมอบอำนาจที่โจทก์ทำไว้ ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท เนื้อที่ 6 ไร่2 งาน 94 ตารางวา ให้แก่จำเลย ให้โจทก์นำเงินเฉพาะส่วนของตนไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขายโสธร ให้เรียบร้อยหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เคยยืมเงินจำเลยต่อมาโจทก์ได้ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท 1 ใน 3 ส่วนของเนื้อที่ทั้งหมดร่วมกับโจทก์ โจทก์ไม่ได้ขายที่ดินให้แก่จำเลยและไม่เคยทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ แม้จะฟังว่าโจทก์ขายที่ดินให้แก่จำเลย แต่การซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นโมฆะจำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 94 ตารางวาให้แก่จำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า การซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือสัญญาจะซื้อขาย โจทก์ฎีกาว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ เห็นว่าการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ตกลงขายที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยในราคา50,000 บาท จำเลยได้ชำระราคาที่พิพาทให้แก่โจทก์ไปครบถ้วนแล้ว ส่วนโจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยขายที่พิพาทให้แก่จำเลยแทนโจทก์ แต่เนื่องจากที่พิพาทติดจำนองและโจทก์ไม่ไปไถ่ถอนจำนองให้ก่อนตามที่ตกลงกันจึงยัง มิได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จากข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาดังกล่าวแสดงว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายแต่ที่ยังไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะมีอุปสรรค เนื่องจากที่พิพาทติดจำนองและโจทก์ไม่ยอมไปไถ่ถอนจำนองให้ก่อนตามที่ได้ตกลงกันไว้ดังนี้ถือได้ว่าสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจะซื้อขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดดังที่โจทก์ฎีกา แม้สัญญาจะซื้อขายจะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายจะต้องรับผิดเป็นสำคัญแต่จำเลยก็ได้ชำระราคาค่าที่พิพาทให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วที่โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยชำระราคาค่าที่พิพาทให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วน จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จำเลยจะฟ้องแย้งให้บังคับคดีได้เนื่องจากสัญญาจะซื้อขายมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่จะต้องรับผิดเป็นสำคัญนั้นเห็นว่า การชำระราคาครบถ้วนย่อมมีน้ำหนักดีกว่าการชำระราคาบางส่วน ดังนี้จึงถือได้ว่าการชำระหนี้ครบถ้วนเป็นการชำระหนี้บางส่วนได้โดยอนุโลม จำเลยมีอำนาจฟ้องแย้งให้บังคับคดีแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง
พิพากษายืน

Share