คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185-186/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลแขวงสั่งรับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ในการพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้หยิบยกข้อเท็จจริงบางประการที่ศาลแขวงมิได้วินิจฉัยไว้ ขึ้นชี้ขาดเสียเองเพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลแขวง ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังมายังขาดตกบกพร่องหรือไม่พอเพียง ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงฟังข้อเท็จจริงใด ๆ เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปได้ตามแต่จะเห็นสมควรแก่กรณี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3)ข.

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่าจำเลยหมิ่นประมาท
จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ศาลแขวงฟังว่าจำเลยกล่าวโดยมีเจตนารักษาผลประโยชน์ของตน ขอความเป็นธรรมต่อผู้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นการใส่ความ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลแขวงสั่งรับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงบางประการเอามาวินิจฉัยเอง เพื่อใช้ประกอบข้อกฎหมายแล้วพิพากษาปรับจำเลยเป็นเงินหนึ่งพันบาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า คดีนี้ ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโจทก์ ครั้นโจทก์อุทธรณ์ศาลแขวงสั่งรับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย คดีที่ศาลยกฟ้องเช่นนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแขวงในปัญหาข้อเท็จจริง เว้นแต่คดีใดที่จำเลยถูกลงโทษดังที่ได้จำแนกไว้บางประการจึงจะอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงได้ ปัญหาสำหรับคดีนี้จึงมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงบางประการที่ศาลแขวงมิได้วินิจฉัยไว้ ขึ้นชี้ขาดเสียเองเพื่อประกอบการวินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมายตามที่ศาลอุทธรณ์สั่งรับเป็นอุทธรณ์นั้น ตามกฎหมาย ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่ศาลยกฟ้องนั้นในถือเป็นยุติตามที่ศาลแขวงฟังมาเป็นหลักในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของศาลอุทธรณ์ แต่ในการที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายคดีใด หากปรากฎว่าข้อเท็จจริงตามที่ศาลแขวงพัทยา ยังขาดตกบกพร่องหรือไม่เพียงพอก็ดี ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจสั่งย้อมสำนวนให้ศาลแขวงฟังข้อเท็จจริงใดๆเพื่อประกอบการวินิจฉัยข้อกฎหมายต่อไปได้ตามแต่จะเห็นสมควรแก่กรณี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๓(๓)ข. ฉะนั้น จึงย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียเองแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยเช่นนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙๗-๖๙๘/๒๕๐๓ ผู้ว่าคดีศาลแขวงพระนครเหนือ โจทก์ นางจงใจ เทียนหอม กับพวกจำเลย อนึ่ง ดคีนี้ ศาลแขวงก็สั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น เท่ากับมิให้มีการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงหาใช่หน้าที่ของศาลอุทธรณ์จะพิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากที่ศาลแขวงฟังมาแล้วอีกไม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาคดีใหม่ตามนัยดังกล่าวมา

Share