คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4783/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรของจำเลยที่ 1 โดยกล่าวอ้างว่าการประดิษฐ์ที่มีส่วนประกอบของกวาวเครือมีการเปิดเผยสาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่เผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2474 ก่อนวันที่จำเลยที่ 1 ขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์จึงไม่ใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ และไม่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น เพราะองค์ประกอบสมุนไพรจากกวาวเครือเป็นส่วนประกอบพื้นๆ ธรรมดาที่บุคคลอื่นและโจทก์ใช้หรือผลิตกันอยู่ทั่วไป ทั้งไม่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรืออื่นๆ ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องการผลิตทางอุตสาหกรรม ไม่เป็นประโยชน์ทางอุตสาหกรรม คงถือเป็นเพียงการผสมสมุนไพร จึงไม่อาจขอรับสิทธิบัตรได้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นที่เข้าใจอย่างชัดแจ้งแล้วว่า สิทธิบัตรพิพาทไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใด ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์ประกอบธุรกิจจำหน่ายและผลิตยาและเครื่องสำอางซึ่งผลิตจากสมุนไพรกวาวเครือ ต่อมาเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2542 จำเลยที่ 1 ประกาศในหนังสือพิมพ์ให้ผู้ผลิต ขาย มีไว้เพื่อขาย และเสนอขายผลิตภัณฑ์จากกวาวเครือที่มีลักษณะเช่นเดียวกัน หรือคล้ายกันกับองค์ประกอบสมุนไพรจากกวาวเครือของจำเลยที่ 1 ยุติการกระทำและเรียกคืนผลิตภัณฑ์จากท้องตลาด จึงเป็นการบรรยายฟ้องว่าโจทก์ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรกวาวเครือเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งหากสิทธิบัตรพิพาทมีผลสมบูรณ์ จำเลยที่ 1 ย่อมจะมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรดังกล่าว และมีสิทธิห้ามบุคคลอื่นรวมทั้งโจทก์ในการประกอบการค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกวาวเครือได้ ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากข้อถือสิทธิที่ระบุไว้ในสิทธิบัตรพิพาทเป็นสำคัญ โจทก์ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการฟ้องขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรได้ ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าสิทธิบัตรตามคำขอเลขที่ 045463 สิทธิบัตรเลขที่ 8912 ที่ออกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่สมบูรณ์และไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนสิทธิบัตรดังกล่าว และถือเอาคำพิพากษาแสดงต่ออธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเพิกถอนสิทธิบัตร เลขที่ 8912
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า สิทธิบัตรตามคำขอเลขที่ 045463 เลขที่สิทธิบัตร 8912 ที่อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาออกให้จำเลยที่ 1 ไม่สมบูรณ์ ให้เพิกถอนเสีย โดยให้โจทก์ทั้งสื่ถือเอาคำพิพากษานี้แสดงต่ออธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อดำเนินการต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมให้ตกเป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ทั้งสี่ประกอบการค้ายาและเครื่องสำอางซึ่งผลิตจากสมุนไพรกวาวเครือ เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2542 จำเลยที่ 1 ประกาศในหนังสือพิมพ์ให้ผู้ผลิต ขาย มีไว้เพื่อขาย และเสนอขายผลิตภัณฑ์จากกวาวเครือที่มีลักษณะเช่นเดียวกันหรือคล้ายกันกับองค์ประกอบสมุนไพรจากกวาวเครือของจำเลยที่ 1 ยุติการกระทำและเรียกคืนผลิตภัณฑ์จากท้องตลาด มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสี่เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรของจำเลยที่ 1 โดยกล่าวอ้างว่าการประดิษฐ์ที่มีส่วนประกอบของกวาวเครือดังกล่าวมีการเปิดเผยสาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่เผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2474 ก่อนวันที่จำเลยที่ 1 ขอรับสิทธิการประดิษฐ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ นอกจากนี้การประดิษฐ์ดังกล่าวยังไม่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น เพราะองค์ประกอบสมุนไพรจากกวาวเครือเป็นส่วนประกอบพื้นๆ ธรรมดาที่บุคคลอื่นและโจทก์ทั้งสี่ใช้หรือผลิตกันอยู่ทั่วไป ทั้งไม่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรืออื่นๆ ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องการผลิตทางอุตสาหกรรมไม่เป็นประโยชน์ทางอุตสาหกรรม คงถือเป็นเพียงการผสมสมุนไพร จึงไม่อาจขอรับสิทธิบัตรได้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ดังกล่าวเป็นที่เข้าใจอย่างแจ้งชัดแล้วว่า สิทธิบัตรพิพาทไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใด ฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ไม่เคลือบคลุม ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหลายประการ เช่น โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ระบุว่าเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ดังกล่าวมีชื่อว่าอะไร เปิดเผยสาระสำคัญอย่างไร เผยแพร่ที่ไหน อย่างไร บุคคลทั่วไปรวมทั้งโจทก์ทั้งสี่นำสมุนไพรกวาวเครือไปผสมกับสารอะไร ในอัตราส่วนเท่าใด มีขั้นตอนการผลิตอย่างไร เป็นต้นนั้น ล้วนเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งโจทก์ทั้งสี่สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาคดี ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ไม่เคลือบคลุมจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ประการต่อมามีว่าโจทก์ทั้งสี่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ในทำนองว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่บรรยายฟ้องและนำสืบว่า โจทก์ทั้งสี่ประกอบธุรกิจจำหน่ายและผลิตยาและเครื่องสำอางซึ่งผลิตจากสมุนไพรกวาวเครือ ต่อมาเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2542 จำเลยที่ 1 ประกาศในหนังสือพิมพ์ให้ผู้ผลิต ขาย มีไว้เพื่อขาย และเสนอขายผลิตภัณฑ์จากกวาวเครือที่มีลักษณะเช่นเดียวกัน หรือคล้ายกันกับองค์ประกอบสมุนไพรจากกวาวเครือของจำเลยที่ 1 ยุติการกระทำและเรียกคืนผลิตภัณฑ์จากท้องตลาด จึงเป็นการบรรยายฟ้องและนำสืบแล้วว่า โจทก์ทั้งสี่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรกวาวเครือเช่นเดียวกันกับจำเลยที่ 1 ซึ่งหากสิทธิบัตรพิพาทมีผลสมบูรณ์ จำเลยที่ 1 ย่อมจะมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรดังกล่าว และมีสิทธิห้ามบุคคลอื่นรวมทั้งโจทก์ทั้งสี่ในการประกอบการค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกวาวเครือได้ ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากข้อถือสิทธิที่ระบุไว้ในสิทธิบัตรพิพาทเป็นสำคัญ โจทก์ทั้งสี่ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการฟ้องขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรได้ ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคสอง โดยโจทก์ทั้งสี่ไม่ต้องบรรยายฟ้องในรายละเอียดว่า โจทก์ทั้งสี่ผลิตและจำหน่ายหรือมีไว้ซึ่งสินค้าดังกล่าวตั้งแต่เมื่อใด สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยทั้งสองอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ จึงไม่อาจนำมาเทียบเคียงได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน อนึ่ง เมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสี่ต่างอ้างว่าตนเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และอาจฟ้องขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรของจำเลยทั้งสองได้โดยลำพังแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 3 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อมาตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมีว่า สิทธิบัตรพิพาทสมบูรณ์หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ในทำนองว่าสิทธิบัตรพิพาทเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น และเป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรมจึงเป็นสิทธิบัตรที่สมบูรณ์ เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่มีนายวัชรพงษ์ นางแจ่มจิตต์ นายอภิญญา นางวรกานต์ นางเพ็ญนภา และนายทรงพล เบิกความยืนยันว่า ตำรายาหัวกวาวเครือของหลวงอนุสารสุนทรดังกล่าวมีอยู่จริง และได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่ปี 2474 ส่วนจำเลยทั้งสองไม่ได้นำสืบหักล้างความมีอยู่ของตำรายาดังกล่าว คงนำสืบไม่รับรู้และอ้างว่าเพิ่งเห็นเอกสารดังกล่าวในภายหลัง รวมทั้งโต้แย้งว่าตำรายาดังกล่าวแตกต่างจากสิทธิบัตรพิพาทเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่จึงมีน้ำหนักดีกว่าและคดีเป็นอันรับฟังได้ว่าตำรายาหัวกวาวเครือของหลวงอนุสารสุนทรมีอยู่จริง และได้พิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่ปี 2474 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยที่ 1 จะยื่นคำขอรับสิทธิบัตร ทั้งถือว่าได้มีการเปิดเผยข้อมูลที่ปรากฏในตำรายาดังกล่าวต่อสาธารณชนด้วย เพราะประชาชนทั่วไปย่อมสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เปิดเผยดังกล่าวได้โดยชอบแล้ว กรณีไม่จำต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพื้นที่ที่มีการเผยแพร่และจำนวนของเอกสารที่พิมพ์เผยแพร่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของประเทศดังที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์แต่อย่างใด
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share