แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2496 โจทก์กับพวกได้เข้าหุ้นกันรับบุหรี่มาจำหน่าย และโจทก์ได้ขายบุหรี่แก่จำเลย ๆ ยังค้างชำระค่าบุหรี่อยู่ 12,036.05 บาท ขอเรียกราคาบุหรี่ที่ค้าง ครั้นเวลานำสืบ โจทก์กลับนำสืบว่าที่โจทก์กับพวกเข้าหุ้นกันเช่นว่านั้นคือเมื่อ พ.ศ. 2493 (ไม่ใช่ พ.ศ.2496 ตามที่บรรยายในฟ้อง) เช่นนี้ ไม่กระทำให้คดีของโจทก์เสียไปอย่างใด เพราะเห็นได้ชัดว่าโจทก์ฟ้องคดีในฐานะส่วนตัวของโจทก์ มิใช่ฟ้องในฐานะเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ข้อที่ว่าโจทก์จะได้เป็นหุ้นส่วนนั้นเมื่อใด จึงมิใช่เป็นประเด็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ และเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าบุหรี่ที่ค้าง
จำเลยปฏิเสธ
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าบุหรี่ที่ยังค้าง ๑๒,๐๓๖ บาท ๐๕ สตางค์ให้โจทก์ รวมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าทนาย
ข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องโจทก์ว่า นายประสิทธิ์ ชูพินิจ ได้สิทธิการเป็นตัวแทนจำหน่ายบุหรี่ของโรงงานยาสูบ กรมสรรพสามิต เมื่อวันที่ + มกราคม ๒๔๙๖ นายประสิทธิได้เรียกหุ้น มีผู้เข้าหุ้น ๑๖ หุ้น ค่าหุ้นละ ๗,๐๐๐ บาท โจทก์ได้เข้าหุ้นด้วย ๑ หุ้นครึ่ง โจทก์กลับนำสืบว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ นายประสิทธิให้รับสิทธิให้จำหน่ายบุหรี่ จึงเรียกหุ้น ๑๖ หุ้น โจทก์ได้เข้าหุ้นด้วย ๑ หุ้นครึ่ง เห็นได้ชัดว่า โจทก์นำสืบผิดเวลาและนอกฟ้องตั้ง ๓ ปีนั้น
ข้อนี้ศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวชัดว่า หุ้นส่วนคนใดรับบุหรี่ของกลางหุ้นไปขายส่งช่วงมากน้อยเท่าใด หุ้นส่วนนั้นจะต้องรับผิดใช้ราคาบุหรี่ที่ได้รับไปให้แก่กลางหุ้นและว่าตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๔๙๖ ตลอดมาจนถึงวันที่ ๑๑ ก.พ. ๒๔๙๗ จำเลยได้รับบุหรี่ตราต่าง ๆ จากโจทก์ ฯลฯ เห็นได้ชัดว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวของโจทก์ มิใช่ฟ้องในฐานะเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ข้อว่าโจทก์จะได้เป็นหุ้นส่วนเมื่อใด จึงมิใช่เป็นประเด็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ และเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้อง ไม่กระทำให้คดีของโจทก์เสียไปอย่างใด