คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยโอนอาคารพาณิชย์พร้อมสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ตามสัญญา และยื่นคำร้องขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดี ตามคำร้องระบุเพียงว่าจำเลยให้การว่าวัดเจ้าของที่ดินมอบสิทธิการเช่าที่ดินและการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ให้แก่จำเลยร่วม กรณีไม่สามารถทราบได้ชัดแจ้งว่าเจ้าของที่ดินมอบสิทธิให้แก่ผู้ใด จึงขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเพื่อไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ โดยไม่ได้แสดงเหตุว่าโจทก์อาจฟ้องหรือถูกจำเลยร่วมฟ้องได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนถ้าศาลพิจารณาให้จำเลยร่วมแพ้คดี เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) (ก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมโอนสิทธิการเช่าที่ดินของวัดให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกวัด ส. และ ว. เข้ามาเป็นจำเลยร่วม อ้างว่ากรณีไม่สามารถทราบได้ชัดแจ้งว่า วัด ส. มอบสิทธิให้แก่ผู้ใด และเพื่อไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกวัด ส. และ ว. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ ๑ และจำเลยร่วมที่ ๒ ตามลำดับ ว. ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น
ระหว่างพิจารณาโจทก์แถลงขอถอนคำร้องที่ขอให้เรียกวัด ส. เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต มีคำสั่งจำหน่ายคดีวัด ส. ออกจากสารบบความ
จำเลยร่วมที่ ๒ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันส่งมอบอาคารพาณิชย์ และโอนสิทธิการเช่าที่ดินของวัด ส. ให้โจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยกับจำเลยร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยร่วมที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑๐,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยร่วมที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามคำร้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยร่วมไม่ได้เข้ามาในคดีด้วยความสมัครใจเอง แต่ถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดีตามคำร้องของโจทก์ โดยศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์อาจฟ้องหรือถูกจำเลยร่วมฟ้องได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนอันเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๓) (ก) ซึ่งบัญญัติให้คู่ความผู้ขอต้องทำเป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี แต่ตามคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีกล่าวความว่า จำเลยให้การว่าวัด ส. มอบสิทธิการเช่าที่ดินและการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ให้แก่จำเลยร่วม กรณีไม่สามารถทราบได้ชัดแจ้งว่าวัด ส. มอบสิทธิให้แก่ผู้ใด จึงขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเพื่อไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ โดยไม่ได้แสดงเหตุว่าโจทก์อาจฟ้องหรือถูกจำเลยร่วมฟ้องได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนถ้าศาลพิจารณาให้จำเลยร่วมแพ้คดี ตามที่บัญญัติในบทกฎหมายดังกล่าว แม้นำคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยมาพิจารณาประกอบกับคำร้องของโจทก์ ก็ไม่ได้ความว่าโจทก์หรือจำเลยมีความสัมพันธ์กับจำเลยร่วมอย่างไร โจทก์อาจฟ้องหรือถูกจำเลยร่วมฟ้องเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือใช้ค่าทดแทนได้อย่างไร ถ้าศาลพิจารณาให้จำเลยร่วมแพ้คดี เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๓) (ก) ศาลชั้นต้นควรที่จะสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์เสียตั้งแต่ต้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยร่วมข้อนี้ฟังขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยร่วมข้ออื่นต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เรียกจำเลยร่วมที่ ๒ เข้ามาในคดี และยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยร่วม โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๓๐,๐๐๐ บาท.

Share