คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งเก้าร่วมกันจุดประทัดโยนขว้างใส่ขบวนผ้าป่าซึ่งโจทก์ร่วมได้ร่วมขบวนมาด้วย และประทัดที่พวกจำเลยจุดได้เกิดระเบิดถูกตาซ้ายของโจทก์ร่วม เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยทั้งเก้าย่อมทราบดีว่าประทัดเป็นดอกไม้เพลิงซึ่งสามารถทำอันตรายแก่ร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บได้ ทั้งย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเมื่อจำเลยทั้งเก้าจุดประทัดโยนขว้างใส่โจทก์ร่วม เมื่อประทัดเกิดระเบิด โจทก์ร่วมย่อมได้รับอันตราย ถือได้ว่าจำเลยทั้งเก้าทุกคนมีเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วมโดยย่อมเล็งเห็นผล แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะไม่ทราบและนำสืบให้ได้ความว่าประทัดดอกใดจำเลยคนใดเป็นผู้จุดแล้วโยนขว้างใส่โจทก์ร่วมอันเป็นเหตุทำให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กายก็ตาม ก็มีผลเพียงจะลงโทษจำเลยทั้งเก้าฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้เท่านั้น คงลงโทษได้เพียงฐานพยายามทำร้ายร่างกาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 295, 297, 83
จำเลยทั้งเก้าให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายวันชัย ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งเก้ามีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุกคนละ 4 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งเก้าอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยที่ 6 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 6 จากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 ต่างจุดประทัดโยนใส่ขบวนผ้าป่าก็ตาม แต่ตามฟ้องบรรยายชัดว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 กับพวกร่วมกันจุดสายชนวนประทัดแล้วโยนใส่โจทก์ร่วม แรงระเบิดของประทัดทำให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส แสดงให้เห็นว่า โจทก์ประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 กับพวกที่จุดประทัดดอกที่เกิดเหตุเพียงดอกเดียวเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 ต่างจุดประทัดดอกอื่น จึงมิใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 ฐานพยายามทำร้ายร่ายกายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่ ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 อีกต่อไป พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามฟ้องที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงในทางพิจารณามิใช่ข้อสาระสำคัญ และจำเลยทั้งเก้ามิได้หลงข้อต่อสู้สำหรับประเด็นที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัย จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยที่ 7 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 7 จากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 8 และที่ 9 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 8 และที่ 9 ฎีกาว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งเก้ามีเจตนาร่วมกันในการจุดประทัดและโยนประทัดดอกที่เกิดเหตุใส่โจทก์ร่วม โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบเพียงว่าประทัดถูกโยนมาจากกลุ่มของจำเลยเท่านั้น โดยมิได้นำสืบให้เห็นชัดว่าจำเลยคนใดจุดและโยนประทัดขว้างใส่โจทก์ร่วมจึงเป็นกรณีที่น่าสงสัยว่าจำเลยทั้งเก้าจะมีเจตนาร่วมกันกระทำความผิดทุกคนหรือไม่ และจะเหมารวมว่าจำเลยทุกคนมีเจตนาร่วมกันกระทำความผิดโดยโยนประทัดขว้างใส่โจทก์ร่วมหาได้ไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังได้ว่า จำเลยทั้งเก้าได้ร่วมกันจุดประทัดโยนใส่ขบวนผ้าป่าซึ่งโจทก์ร่วมได้ร่วมขบวนมาด้วย และประทัดที่พวกจำเลยจุดได้เกิดระเบิดถูกตาซ้ายของโจทก์ร่วม เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กาย เห็นว่า จำเลยทั้งเก้าย่อมทราบดีว่าประทัดเป็นดอกไม้เพลิงซึ่งสามารถทำอันตรายแก่ร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บได้ ทั้งจำเลยทั้งเก้าย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเมื่อจำเลยทั้งเก้าจุดประทัดโยนขว้างใส่โจทก์ร่วม เมื่อประทัดเกิดระเบิด โจทก์ร่วมย่อมได้รับอันตราย ถือได้ว่าจำเลยทั้งเก้าทุกคนมีเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วมโดยย่อมเล็งเห็นผล แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะไม่ทราบและนำสืบให้ได้ความว่าประทัดดอกใดจำเลยคนใดเป็นผู้จุดแล้วโยนขว้างใส่โจทก์ร่วมอันเป็นเหตุทำให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กายก็ตาม ก็มีผลเพียงจะลงโทษจำเลยทั้งเก้าฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้เท่านั้น คงลงโทษได้เพียงฐานพยายามทำร้ายร่างกาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 8 และที่ 9 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share