แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยซื้อที่ดินจาก ท. เพื่อใช้ทำเป็นถนนเชื่อมหมู่บ้านจัดสรรในโครงการของจำเลย และได้ทำบันทึกต่อท้ายสัญญาจะซื้อขายที่ดินว่า ยินยอมให้ ท. และที่ดินแปลงที่โจทก์ซื้อจาก ท. ใช้ทางได้ คำว่า “ให้ใช้ทาง” ย่อมหมายถึงการให้ใช้ทางได้เป็นปกติวิสัยทั่ว ๆ ไป ซึ่งหากจำเลยทำทางขึ้นกว้างยาวเท่าใด คู่สัญญาก็ย่อมมีสิทธิใช้ได้ตามที่จำเลยทำขึ้น การที่จำเลยปิดกั้นทางเข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์ให้เหลือเพียง 1 เมตร เพื่อมิให้โจทก์นำรถยนต์เข้าไปสู่ที่ดินของตนได้ ย่อมเป็นการทำให้สิทธิการใช้ทางตามปกติวิสัยของโจทก์ลดน้อยลง ไม่สะดวกในการใช้ทางที่ทำขึ้นตามปกติวิสัยทั่ว ๆ ไป จึงเป็นการผิดสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายท่อระบายน้ำและรื้อรั้วอิฐบล็อกพร้อมทั้งปรับปรุงพื้นที่ทางเดินในบริเวณที่ดินพิพาทเพื่อให้โจทก์ทั้งแปดใช้สอยได้ตามสัญญา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย และมีคำพิพากษาให้จำเลยขนย้ายท่อระบายน้ำและรื้อรั้วอิฐบล็อกที่ปิดกั้นเส้นทางเข้าออกของโจทก์ทั้งแปดและปรับปรุงพื้นที่บริเวณดังกล่าวให้อยู่ในสภาพที่โจทก์ทั้งแปดใช้สอยได้ตามปกติ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งแปด โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
โจทก์ทั้งแปดฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยขนย้ายท่อระบายน้ำและรื้อรั้วอิฐบล็อกที่ปิดกั้นเส้นทางเข้าออกของโจทก์ทั้งแปดและปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวให้อยู่ในสภาพที่โจทก์ทั้งแปดใช้สอยได้ตามปกติ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งแปด โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 6,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 108911 โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 127159 โดยแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 108911 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 108912 และ 128808 (แยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 108912) โจทก์ที่ 4 และที่ 5 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 108913 โจทก์ที่ 6 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 108914 และ 130238 (แยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 108914) โจทก์ที่ 7 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 108915, 128809 และ 128810 (แยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 51352) โจทก์ที่ 8 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 51352 จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท จำกัด ได้ซื้อที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 108910 จากนางสาวทองดี และได้มีการทำบันทึกต่อท้ายสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ต่อมาจำเลยนำท่อระบายน้ำไปวางปิดกั้นขวางทางเข้าออก รวมทั้งก่ออิฐปิดกั้นทางเข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์ทั้งแปด ที่ดินของโจทก์ทั้งแปดและส่วนที่จำเลยซื้อไปจากนางสาวทองดีเดิมเป็นที่ดินรวมอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 51352 ของโจทก์ที่ 8 มาก่อน โดยโจทก์ที่ 8 แบ่งให้นางสาวทองดีก่อนที่นางสาวทองดีจะขายให้จำเลย เมื่อจำเลยซื้อที่ดินไปจากนางสาวทองดี ได้นำที่ดินไปทำเป็นถนนเชื่อมหมู่บ้านของจำเลยที่เป็นโครงการเก่ากับโครงการใหม่ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยมีว่า ตามสัญญาจะซื้อขายและบันทึกต่อท้ายสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับนางสาวทองดีมีผลผูกพันโจทก์ทั้งแปดหรือไม่เพียงใด เห็นว่า ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วในเบื้องต้นว่าโจทก์ทั้งแปดมีสิทธิจะใช้ทางพิพาท เพียงแต่ยังไม่ชี้ชัดว่าจะใช้ได้ทั้งหมดหรือเพียง 1 เมตร ตามที่จำเลยต่อสู้ ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นนี้ที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยนำสืบและมีคำพิพากษาไปตามประเด็นที่ศาลฎีกากำหนดไว้ จึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ฎีกาข้อต่อไปของจำเลยที่ว่า คำว่า “ให้ใช้ทาง” ตามบันทึกต่อท้ายสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทข้อ 5 นั้น หมายความว่า “ให้ใช้ทางตามปกติตามสภาพที่นางสาวทองดีใช้อยู่ในขณะนั้นคือ เป็นทางเดินเท้า” ซึ่งมีความหมายว่าทางเดินเท้ากว้าง 1 เมตร เท่านั้น เห็นว่า คำว่า “ให้ใช้ทาง” ตามสัญญาดังกล่าวหมายถึงการให้ใช้ทางได้เป็นปกติวิสัยทั่ว ๆ ไป ซึ่งหากจำเลยทำทางขึ้นกว้างยาวเท่าใดคู่สัญญาก็ย่อมมีสิทธิใช้ได้ตามที่จำเลยทำขึ้น การที่จำเลยไปปิดกั้นทางเข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์ทั้งแปดให้เหลือเพียง 1 เมตร เพื่อมิให้โจทก์ทั้งแปดนำรถยนต์เข้าไปสู่ที่ดินของตนได้ย่อมเป็นการทำให้สิทธิการใช้ทางตามปกติวิสัยของโจทก์ทั้งแปดลดน้อยลง ทำให้โจทก์ทั้งแปดไม่สะดวกในการใช้ทางที่ทำขึ้นตามปกติวิสัยทั่ว ๆ ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการผิดสัญญา
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนโจทก์ทั้งแปด.