แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ามีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อที่ดินพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์และคู่สัญญาเจตนาที่จะทำสัญญาขายฝากโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อคู่สัญญามิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ สัญญาขายฝากที่ทำกันเองจึงเป็นโมฆะ จำเลยผู้ซื้อฝากจะอ้างสิทธิการได้มาซึ่งการครอบครองโดยนิติกรรมการขายฝากนั้นไม่ได้ การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเป็นการครอบครองแทนผู้ขายฝาก จำเลยจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ขายฝากถูกถอนคืนการให้ตกเป็นของโจทก์จำเลยจึงต้องคืนที่ดินพิพาทแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ได้ยกที่ดินนาให้แก่นางเวจ พันธ์มะลี บุตรสาวของโจทก์ นางเวลได้นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 3708 ตำบลดินแดง อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษนางเวจได้นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปประกันเงินกู้จำนวน 15,000 บาทไว้แก่จำเลยโดยมอบที่ดินให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย โดยกำหนดจะนำเงินไปไถ่คืนภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันทำสัญญาและได้ทำสัญญาขายฝากโดยตกลงจะไปจดทะเบียนการขายฝากที่อำเภอต่อมานางเวจประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ได้ฟ้องขอถอนคืนการให้ ซึ่งคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาตัดสินให้นางเวจคืนที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์จึงได้นำเงินจำนวน 15,000 บาทไปชำระให้จำเลยเพื่อไถ่ที่ดินคืน แต่จำเลยไม่ยินยอม ขอให้บังคับจำเลยรับเงินจำนวน 15,000 บาท จากโจทก์ และให้จำเลยส่งมอบน.ส.3 ก. เลขที่ 3708 ตำบลดินแดง อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ และที่ดินแปลงดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องเดิมเป็นของนางเวจ ต่อมานานางเวจได้ขายให้จำเลยในราคา 25,000 บาทจำเลยได้ชำระราคาแล้วและได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทในฐานะเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยตลอดมา ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ยกให้แก่นางเวจบุตรสาวโดยเสน่หา ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2525 นางเวจขายฝากที่ดินพิพาทนี้แก่จำเลยมีกำหนดไถ่ทรัพย์นั้นคืนภายใน2 ปี โดยจะไปจดทะเบียนกันภายในปี 2525 แต่ก็ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ รายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3นางเวจได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลย และจำเลยได้ทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมา นางเวจประพฤติเนรคุณต่อโจทก์โจทก์ได้ฟ้องขอถอนคืนการให้ ครบกำหนดไถ่ทรัพย์ นางเวจไม่ได้ไถ่ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการให้ที่ดินดังกล่าวให้นางเวจไถ่ถอนการขายฝากที่ดิน หากนางเวจไม่ไถ่ ให้โจทก์ไถ่ถอนแทนนางเวจได้ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ได้ความว่าที่ดินพิพาทนี้เป็นที่ดินมือเปล่าที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ทำสัญญาขายฝากกันเอง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 บัญญัติว่า “อันว่าขายฝากนั้นคือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้” และมาตรา 456 บัญญัติว่า “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไซร้ ท่านว่าเป็นโมฆะ” ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อที่ดินพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ และคู่สัญญาเจตนาที่จะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อคู่สัญญามิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ สัญญาขายฝากเอกสารหมาย จ.3 จึงเป็นโมฆะ เมื่อสัญญาขายฝากนี้เป็นโมฆะแล้ว จำเลยย่อมจะอ้างสิทธิการได้มาซึ่งการครอบครองโดยนิติกรรมการขายฝากนั้นไม่ได้ เพราะการขายฝากนั้น มิใช่ผู้ขายฝากสละเจตนาครอบครองโดยเด็ดขาดให้แก่ผู้ซื้อฝาก แต่ผู้ขายฝากมอบให้โดยมีเงื่อนไขว่าวันหลังจะเอาคืน และตามสัญญาขายฝากก็ไม่มีข้อความระบุว่าเมื่อครบกำหนด 2 ปีแล้วไม่ไถ่ จะให้ที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลย ฉะนั้นการที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทก็โดยอาศัยอำนาจของนางเวจผู้เป็นเจ้าของเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของนางเวจอยู่ เมื่อนางเวจถูกถอนคืนการให้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงตกมาเป็นสิทธิของโจทก์ และข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของโจทก์นายคำนวณ พันธ์มะลีบุตรโจทก์ซึ่งเป็นพยานโจทก์ว่า โจทก์ได้นำเงินจำนวน 15,000 บาทไปขอไถ่ที่ดินพิพาทคืน แต่จำเลยไม่ยอมรับ จึงนำเงินไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ ศาลจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่29 กรกฎาคม 2526 รายละเอียดปรากฏตามคำร้องขอวางทรัพย์คดีหมายเลขดำที่ ว.3/2526 ของศาลชั้นต้นจำเลยมีหน้าที่จะต้องส่งคืนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทและน.ส.3 ก. เลขที่ 3708 ตำบลดินแดง อำเภอไพรบึงจังหวัดศรีสะเกษ แก่โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไปโดยให้จำเลยมีสิทธิรับเงินจำนวน 15,000 บาท ที่โจทก์วางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ ศาลจังหวัดศรีสะเกษ ได้