คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4763/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมที่ดินของโจทก์และของจำเลยที่ 1เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ต่อมามีการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อย ทำให้ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะทั้ง ๆ ที่โจทก์และบริวารได้ใช้ทางพิพาทตลอดแนวที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันออกเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ถือว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือทางจำเป็นแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนและรื้อรั้วเฉพาะส่วนที่ปิดกั้นทางพิพาท ข้อความที่ว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น เป็นเพียงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าความจริงทางดังกล่าวเป็นทางประเภทใดกันแน่ คำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม เมื่อปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นซึ่งแบ่งแยกออกมาจากที่ดินแปลงเดิมกับที่ดินของโจทก์ล้อมอยู่จนไม่มีทางออกทางสาธารณะได้ แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้แบ่งยกที่ดินทางทิศตะวันตกให้เป็นทางสาธารณะอีกทางหนึ่ง แต่หากโจทก์ใช้ทางดังกล่าวจะต้องผ่านที่ดินแปลงอื่นอีกสามแปลงและสามเจ้าของซึ่งผิดกับทางพิพาทที่โจทก์ผ่านเข้าออกที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันตกและมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่ก่อนแล้ว มีระยะทางสั้นกว่าประมาณ15 เมตร เท่านั้น การใช้ทางพิพาทจึงสะดวกกว่าการไปใช้ทางอื่นทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17066 ตำบลบางลำภูล่าง (บางไส้ไก่ฝั่งเหนือ)อำเภอคลองสาน (บางลำภูล่าง) กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 1804 ของจำเลยที่ 1 โดยที่ดินของโจทก์จำเลยต่างแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 668 ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์และบริวารใช้ที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะโดยความสงบและโดยเปิดเผยมาเป็นเวลาเกินกว่า10 ปีแล้ว ทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันออกทางดังกล่าวจึงตกเป็นทางภารจำยอมและเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองได้สร้างรั้วคอนกรีตปิดกั้นทางพิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางพิพาทเข้าออกได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนให้ทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นหรือทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง กับให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วคอนกรีตเฉพาะส่วนที่ปิดกั้นทางพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อเองได้โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า ทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยที่ 1 มิใช่ทางจำเป็น โจทก์ไม่ได้ภารจำยอมในทางพิพาทและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ทางพิพาทกว้าง 1 เมตร50 เซนติเมตร บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1804 ตำบลบางลำภูล่าง(บางไส้ไก่ฝั่งเหนือ) อำเภอคลองสาน (บางลำภูล่าง) กรุงเทพมหานครสุดเขตด้านทิศตะวันออกของที่ดินจำเลยที่ 1 ยาวตลอดแนวเขตเป็นทางจำเป็น โจทก์และบริวารในที่ดินโฉนดเลขที่ 17066 ตำบลบางลำภูล่าง (บางไส้ไก่ฝั่งเหนือ) อำเภอคลองสาน (บางลำภูล่าง)กรุงเทพมหานคร มีสิทธิใช้ ให้จำเลยที่ 1 เปิดทางพิพาทดังกล่าวและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อรั้วคอนกรีต ส่วนที่ปิดกั้นทางพิพาทระหว่างทางพิพาทกับที่ดินของโจทก์ออก หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้โจทก์ดำเนินการรื้อเองได้ โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งโจทก์เป็นผู้รื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาทเสียเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้ยก
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาเป็นประเด็นแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาแต่เพียงว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างสิทธิทั้งทางภารจำยอมและทางจำเป็นมาในฟ้องคราวเดียวกันถือว่าเป็นการบรรยายฟ้องมาสองนัยย่อมขัดกันอยู่ในตัว จึงเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขัอต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง นั้น เห็นว่าโจทก์ชอบที่จะบรรยายฟ้องมาในคราวเดียวกันได้ว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น เพราะเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่า เดิมที่ดินของโจทก์และของจำเลยที่ 1เป็นที่ดินแปลงเดียวกันตามโฉนดเลขที่ 668 ต่อมามีการแบ่งแยกเป็น5 แปลง โดยระบุหมายเลขโฉนดที่ดินที่แบ่งแยกใหม่ครบทุกแปลงทั้งได้บรรยายสถานที่ตั้งพร้อมกับแนบแผนที่สังเขปของที่ดินดังกล่าวมาท้ายคำฟ้อง และได้บรรยายด้วยว่า จากการแบ่งแยกที่ดินเหล่านั้นทำให้ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 17066 ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะคือ ซอยสารภี 3 ทั้ง ๆ ที่โจทก์และบริวารได้ใช้ทางพิพาทตลอดแนวที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันออกเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะดังกล่าวโดยความสงบและเปิดเผยมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ถือว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือทางจำเป็นแก่โจทก์ ถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติบังคับไว้แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาในประเด็นต่อมาว่า โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์และของจำเลยทั้งสองซึ่งมีแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเอกสารหมาย จ.5 และแผนที่สังเขปก่อนกั้นรั้วปูนท้ายคำให้การเป็นพยานเอกสารรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 17066 ตำบลบางลำภูล่าง (บางไส้ไก่ฝั่งเหนือ)อำเภอคลองสาน (บางลำภูล่าง) กรุงเทพมหานคร ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ถูกที่ดินแปลงอื่นซึ่งแบ่งแยกออกมาจากที่ดินแปลงเดิมตามโฉนดเลขที่ 668 ตำบล อำเภอและจังหวัดเดียวกันกับที่ดินของโจทก์ล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ซอยสารภี 3 ซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังได้ดังที่จำเลยทั้งสองนำสืบและฎีกาขึ้นมาว่าโจทก์สามารถผ่านเข้าออกสู่ซอยสารภี 3 ได้ทางที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันตก ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้แบ่งยกให้เป็นทางสาธารณะทางหนึ่งอยู่แล้วก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าหากโจทก์ใช้ทางดังกล่าวโจทก์และบริวารจะต้องผ่านเข้าออกไปทางที่ดินของเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 668, 3866, และ 3865 ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เอกสารหมาย จ.5 ไปอีกถึงสามแปลงและสามเจ้าของ ผิดกับการที่โจทก์ผ่านเข้าออกไปทางที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันออกซึ่งมีแนวเขตด้านทิศใต้ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือและมีทางพิพาทที่โจทก์และบริวารใช้ผ่านเข้าออกอยู่ก่อนแล้วกล่าวคือ โจทก์และบริวารใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะโจทก์และบริวารเพียงแต่ผ่านเข้าออกทางที่ดินของจำเลยที่ 1เพียงแปลงเดียว และใช้ระยะทางสั้นกว่า การที่ไปใช้ทางที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันตก คือ ระยะทางประมาณ 15 เมตร เท่านั้นนับว่าสะดวกกว่าไปใช้ทางอื่น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เช่นนี้ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นแก่โจทก์ ชอบที่โจทก์และบริวารใช้ผ่านเข้าออกสู่ซอยสารภี 3 ซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share