คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยนำใบมอบอำนาจ 2 ฉบับที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้มอบอำนาจไปกรอกข้อความว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยไปจัดการยกที่ดินโฉนดเลขที่ 561 ให้แก่จำเลยโดยเสน่หาและมอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินโฉนดเลขที่ 558,559 ให้แก่จำเลยทั้งจำเลยยังทำหนังสือขึ้นอีกฉบับหนึ่งว่าภรรยาโจทก์ให้ความยินยอมในการทำนิติกรรมนั้นโดยโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยกระทำการเช่นนั้นเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 โจทก์เป็นเจ้าของลายมือชื่อเมื่อจำเลยเอาลายมือชื่อไปใช้โดยโจทก์ไม่ยินยอม โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินที่ไปจัดการโอนตามใบมอบอำนาจจะเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกลักเอาหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจไว้แล้วไปกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจเป็นการปลอมเอกสารสิทธิ ต่อมาจำเลยใช้เอกสารปลอมดังกล่าวไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ถือได้แล้วว่า โจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ซึ่งเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ไม่จำต้องระบุว่ามีบุคคลใดร่วมหรือสมคบกับจำเลยเพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องบุคคลอื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2525 ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม2525 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกับพวกลักเอาหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจให้นายก๊กเซ่ง แซ่ภู่เก็บรักษาพร้อมโฉนดเลขที่ 561 ตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสงจังหวัดนครศรีธรรมราช ไปกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวว่า โจทก์มอบอำนาจให้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 561 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยเป็นการปลอมเอกสารสิทธิ ต่อมาวันที่ 13 กรกฎาคม2525 เวลากลางวัน จำเลยได้ใช้เอกสารปลอมดังกล่าว ไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 561 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยเอง และจำเลยยังทำการปลอมหนังสือขึ้นทั้งฉบับว่าภรรยาโจทก์ยินยอมให้โจทก์ไปทำนิติกรรมได้ ซึ่งการกระทำของจำเลยทำให้เจ้าพนักงานที่ดิน เชื่อว่าหนังสือมอบอำนาจและเอกสารแสดงความยินยอมของภรรยาโจทก์ให้ทำนิติกรรมนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริง จึงได้จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามที่จำเลยยื่นคำขอ และเมื่อเดือนมิถุนายน 2525 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2526วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกับพวกลักหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจมอบให้นายก๊กเซ่ง แซ่ภู่เก็บรักษาไว้ แล้วไปกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจนั้นว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินโฉนดเลขที่ 558, 559 ตำบลปากแพรกอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช รวม 2 โฉนดให้จำเลย เป็นการปลอมเอกสารซึ่งเป็นเอกสารสิทธิ ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม2526 เวลากลางวัน จำเลยได้ใช้เอกสารปลอมที่ทำขึ้นดังกล่าวไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ขอจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่558 และ 559 ให้แก่จำเลย และจำเลยได้ปลอมหนังสือขึ้นทั้งฉบับว่าภรรยาโจทก์อนุญาตให้โจทก์ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่558, 559 แก่จำเลยได้ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อว่าเอกสารที่แท้จริงและจดทะเบียนโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามที่จำเลยยื่นคำขอนั้นให้จำเลยเหตุเกิดที่ตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชและที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265, 268, 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 268 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสองเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปีรวม 2 กระทงจำคุก 4 ปี เมื่อจำเลยมีความผิดตามมาตรา 265 อันเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 264 อันเป็นบททั่วไปอีก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 268 กระทงเดียว ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 โดยให้จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์จำเลยฟังได้ว่า จำเลยได้นำใบมอบอำนาจทั้ง 2 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.12และ จ.13 ที่มีลายมือชื่อของโจทก์ในช่องผู้มอบอำนาจไปกรอกข้อความว่าโจทก์ได้มอบให้จำเลยไปจัดการยกที่ดินตามโฉนดเลขที่ 561 ให้แก่จำเลยโดยเสน่หา และอีก 1 ฉบับว่ามอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 558, 559 ให้แก่จำเลยและได้ทำหนังสือประกอบว่าภรรยาโจทก์ให้ความยินยอมโดยจำเลยเป็นคนทำขึ้นทั้งฉบับ
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.12และ จ.13 โดยสมัครใจหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายก๊กเซ่งบิดาของจำเลยเองก็ได้เบิกความว่า เมื่อ พ.ศ. 2525 ได้เปิดดูตู้เก็บเอกสารพบว่าใบมอบอำนาจที่โจทก์ลงชื่อให้ไว้ที่เหลืออยู่3 ฉบับ ได้หายไปพร้อมใบต่างด้าวและสำเนาทะเบียนบ้าน จึงได้ไปแจ้งความเอาไว้เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2525 ตามเอกสารหมาย จ.4ก่อนนี้ประมาณ 3 เดือน ได้เปิดดูก็ยังเห็นอยู่ครบ และโจทก์ก็เบิกความว่าเมื่อ พ.ศ. 2525 พยานได้รับแจ้งจากนายก๊กเซ่งว่าใบมอบอำนาจที่พยานลงชื่อมอบไว้ให้ได้หายไป ทราบว่านายสุวิทย์น้องชายของจำเลยได้ขโมยไปให้จำเลยและจำเลยได้เอาใบมอบอำนาจดังกล่าวไปจัดการโอนที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราชให้แก่ตัวเอง เมื่อทราบดังนั้นพยานจึงได้มอบอำนาจให้ทนายความจากกรุงเทพมหานครไปขอตรวจดูที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้ทราบว่าจำเลยได้นำใบมอบอำนาจที่มีลายมือชื่อของโจทก์ไปกรอกข้อความและรับโอนเอาที่ดินเป็นของตนพร้อมกับปลอมหนังสือให้ความยินยอมของภรรยาโจทก์ บัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ขึ้น พยานทั้งสองปากดังกล่าวเป็นบิดาและอาของจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยแต่อย่างใดน่าเชื่อว่าเบิกความตามความจริง นอกจากนี้ปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง ที่ศาลจังหวัดทุ่งสงเรียกที่ดินคืนเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 632/2527 ผลของคดีตกลงกันได้ มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.9 ตามสัญญาประนีประนอมจำเลยจะจัดการโอนที่ดินคืนมาให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยโอนเสร็จตามสัญญาโจทก์ก็จะถอนฟ้องคดีนี้ แต่จนถึงขณะเบิกความ จำเลยยังปฏิบัติไม่ครบตามสัญญา หากโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยจริงก็ไม่มีเหตุที่จะมาฟ้องเรียกที่ดินจากจำเลย ที่จำเลยนำสืบกล่าวอ้างว่าโจทก์มอบให้โดยสมัครใจและได้รับมอบเงินจากจำเลยไป 200,000 บาท ก็มีแต่เพียงคำเบิกความของจำเลยลอย ๆ ไม่ยืนยันว่าเมื่อใด ที่ไหน อย่างไรไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน และหากให้โดยสมัครใจจริงโจทก์ก็น่าจะทำหนังสือให้ความยินยอมของภรรยาโจทก์ให้ไปพร้อม ไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยทำปลอมขึ้น และที่จำเลยกล่าวอ้างจดหมายของโจทก์ตามเอกสาร หมาย ป.ล.3 และ ป.ล.4 ว่าโจทก์ต้องการให้แบ่งแก่ทายาทนั้น ได้พิเคราะห์ดูข้อความในจดหมายแล้วเห็นว่าข้อความในจดหมายเป็นไปในทำนองว่า ให้จำเลยรีบทำข้อตกลงกับบิดาและเตรียมหลักฐานการโอนเช่นโฉนดไว้ให้พร้อมแล้วโจทก์จะได้ลงไปจัดการโอนให้ด้วยตนเอง เป็นการสนับสนุนทางฝ่ายโจทก์ ว่าโจทก์จะมาดำเนินการโอนให้ด้วยตนเอง ขณะเขียนจดหมายก็ยังไม่ทราบว่าจำเลยจัดการโอนไปแล้ว จากเหตุผลดังกล่าวมาเชื่อว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยทำการโอน จำเลยจึงมีความผิด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในข้อต่อมาว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของลายมือชื่อเมื่อจำเลยเอาลายมือชื่อไปใช้โดยโจทก์ไม่ยินยอม โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิด ไม่จำเป็นจะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินที่ไปจัดการโอนตามใบมอบอำนาจนั้นจะเป็นของโจทก์หรือไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยก็ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในข้อต่อมาว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกลักเอาหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจไว้แล้วไปกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจ เป็นการปลอมเอกสารสิทธิ ต่อมาจำเลยใช้เอกสารปลอมดังกล่าวไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ ถือได้แล้วว่าโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)แล้ว ไม่จำต้องระบุว่ามีบุคคลใดร่วมหรือสมคบกับโจทก์ดังจำเลยอ้างในฎีกาเพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลยด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยขอให้รอการลงโทษนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์กับจำเลยเป็นญาติกันและจำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี สมควรรอการลงโทษให้ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำเห็นควรลงโทษปรับด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยกระทงละ 3,000 บาท อีกสถานหนึ่งรวมปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share