คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4756/2529

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ร้องขอให้อายัดเงินของจำเลยจากคดีอื่นเพื่อนำมา ชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาซึ่งศาลในคดีนี้ได้โอนมาไว้ ในคดีนี้แล้ว และศาลได้สั่งจ่ายเงินที่อายัดให้โจทก์ การอายัดตัวเงินมิได้คิดค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีแตกต่าง จากการอายัดทรัพย์สินแต่อย่างใด จึงต้องคิดค่าธรรมเนียม ในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งของจำนวนเงินที่อายัดและจ่ายให้โจทก์ จะคิดในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่อายัดได้ต่อเมื่อ มีการถอนการอายัดเงินนั้นหรือไม่มีการจ่ายเงินที่อายัดนั้น แก่เจ้าหนี้เท่านั้น

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามยอม โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และยึดที่ดินของผู้ร้องที่ 1 ซึ่งนำมาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความขายทอดตลาดได้เฉพาะที่ดินของผู้ร้องที่ 1 ได้เงิน 434,500 บาทไม่เพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์ยื่นคำร้องขออายัดเงินของจำเลยที่ 1 และผู้ร้องทั้งสองในคดีนี้จากคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4198/2523 ของศาลชั้นต้นเพื่อนำมาชำระหนี้โจทก์ในจำนวนที่ยังขาดซึ่งได้โอนมาไว้ในคดีนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้จ่ายเงินที่อายัดให้โจทก์ แต่คิดค่าธรรมเนียมไม่ถูกต้องขอให้คืนเงินที่คิดเกินไป ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ร้องขอให้อายัดเงินของจำเลยที่ 1 และผู้ร้องทั้งสองในคดีนี้ จากคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4198/2523 ของศาลชั้นต้น จำนวน 3,171,167 บาท40 สตางค์ เพื่อนำมาชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลในคดีนั้นได้โอนมาไว้ในคดีนี้แล้ว ผู้ร้องทั้งสองคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิในจำนวนเงินที่อายัดเพียง 1 ใน 3 ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จ่ายเงินที่อายัดจำนวน 1 ใน 3 ซึ่งคิดเป็นเงิน 1,157,122 บาท 47 สตางค์ ให้โจทก์และคิดค่าธรรมเนียมในการอายัดเงินในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งของจำนวนเงินที่อายัดและจ่ายให้โจทก์ ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้คิดค่าธรรมเนียมในการอายัดในอัตราร้อยละ 1 และคืนเงินค่าธรรมเนียมในการอายัดที่คิดเกินไปให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาดังกล่าว ตามตาราง 5 ว่าด้วยค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีข้อ 2 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บัญญัติว่า การจ่ายเงินที่ยึดหรืออายัดแก่เจ้าหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของจำนวนเงินที่ยึดหรืออายัด โดยไม่ได้คำนึงถึงลักษณะของงานมากน้อยหรือยุ่งยากในการบังคับคดี รวมทั้งไม่ได้กำหนดไว้ว่าการอายัดตัวเงินคิดค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีแตกต่างจากการอายัดทรัพย์สินแต่อย่างใด เมื่อกฎหมายบัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ3 ครึ่งของจำนวนเงินที่อายัดโดยชัดแจ้งเช่นนี้ก็ต้องคิดค่าธรรมเนียมตามจำนวนเงินที่อายัดและจ่ายเงินจำนวนที่อายัดนั้นแก่เจ้าหนี้ โดยจะคิดค่าธรรมเนียมตามตาราง 5 ข้อ 4 ในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่อายัดได้ ต่อเมื่อมีการถอนการอายัดเงินนั้นหรือไม่มีการจ่ายเงินที่อายัดนั้นแก่เจ้าหนี้เท่านั้น ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งในเรื่องค่าธรรมเนียมการอายัดเงินมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน โจทก์แก้ฎีการวมมากับคำแก้ฎีกาในประเด็นอื่นจึงกำหนดให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาในประเด็นข้อนี้ให้โจทก์รวมอยู่ในสำนวนนั้นแล้ว

Share