แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำแถลงรับของจำเลยซึ่งศาลจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายว่า เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริงก็ดี ไม่มีทรัพย์สินพอจะชำระหนี้โจทก์ได้ก็ดี หาใช่เป็นคำให้การตามมาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่ เมื่อจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การและมิได้มีการสั่งให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ทั้งศาลก็ยังมิได้ดำเนินการพิจารณาคดีอย่างไร ต่อไปภายหลังที่จำเลยแถลงแล้ว หากจำเลยขอถอนคำแถลงต่อศาลนั้นเสียโดยอ้างว่าคำแถลงไปโดยผิดหลง จึงไม่ใช่เป็นการขอถอนคำให้การหรือแก้ไขคำให้การแต่อย่างใด เมื่อศาลเห็นสมควรให้จำเลยได้มีโอกาสต่อสู้คดีต่อไปตามกระบวนความก็อนุญาตได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขอกู้เงินเกินบัญชีของโจทก์และนำเงินเข้าบัญชีคืนรวมหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยเป็นเงิน ๑,๐๒๙,๕๖๘.๖๔ บาท โจทก์ทวงถามแล้วก็ไม่ชำระ จำเลยเป็นหนี้บุคคลอื่นอีกหลายราย โจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย
ศาลแพ่งส่งสำเนาฟ้องให้จำเลยและนัดพิจารณา ถึงกำหนดนัด ศาลจดรายงานพิจารณาว่า จำเลยขอรับในชั้นนี้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง ขอเวลาผ่อนปรนเพื่อหาทางชำระหนี้หรือตกลงกับโจทก์ โจทก์ยอม ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า ที่จำเลยแถลงรับต่อศาลนั้น จำเลยหลงผิดไป บัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยไม่ถูกต้อง ความจริงจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน ๑,๓๕๘,๓๗๖.๓๔ บาท ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชอบ ต่อมาศาลสืบพยานโจทก์ ๑ ปาก แล้วมีคำสั่งงดสืบพยาน นัดฟังคำสั่ง
ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า จำเลยไม่ยื่นคำให้การ แต่ได้แถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์ ก็เท่ากับรับว่าเป็นหนี้ ที่จำเลยว่าแถลงรับไปเป็นการหลงผิด ก็เท่ากับขอถอนคำให้การและให้การใหม่เมื่อเวลาล่วงเลยมานานจน ๑ ปีเศษแล้ว จำเลยจะขอแก้ไม่ได้ ศาลแพ่งฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์กว่า ๑,๐๐๐ บาท เป็นหนี้แน่นอน จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ขอให้ศาลงดการพิจารณาเรื่อยมาเป็นเวลานานจนจำเลยตรวจสอบหลักฐานว่าโจทก์หักบัญชีผิด และได้ฟ้องเรียกร้องจากโจทก์แล้ว เป็นการขอสืบพิสูจน์ว่าจำเลยอาจชำระหนี้หรือหักหนี้กับโจทก์ได้ เหตุการณ์ทางคดีและฐานะของจำเลยเปลี่ยนไปแล้ว ควรให้โอกาสจำเลยได้มีเวลานำสืบพิสูจน์ต่อไป พิพากษายกคำสั่งศาลแพ่ง ให้รอคดีไว้ฟังผลคดีที่จำเลยฟ้องก่อนแล้วดำเนินกระบวนพิจารณา และมีคำสั่งหรือพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีล้มละลายตามมาตรา ๑๕๓ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย การพิจารณาคดีย่อมต้องบังคับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การที่จำเลยแถลงต่อศาลว่า จำเลยรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริงตามรายงานพิจารณาของศาลลงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๐๒ ก็ดี กับแถลงว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้โจทก์ได้ ปรากฎตามรายงานพิจารณาลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๐๒ ก็ดี คำแถลงของจำเลยนี้หาใช่เป็นคำให้การตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่ คดีนี้จำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ และมิได้มีการสั่งให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่จำเลยยื่นคำร้องว่า ที่จำเลยแถลงรับไว้นั้นเป็นการหลงผิดไป ขอถอนเสียนั้น จึงหาใช่เป็นการถอนคำให้การหรือแก้ไขคำให้การไม่ เป็นแต่เพียงขอถอนคำแถลงที่ได้แถลงไว้ต่อศาลเท่านั้น การที่จำเลยแถลงต่อศาลแล้ว ศาลยัรงมิได้ดำเนินการพิจารณาคดีอย่างไรต่อไป ในระหว่างที่ศาลให้รอคดีอยู่นี้จำเลยได้มายื่นคำร้องว่าตนได้แถลงไปโดยหลงผิด ขอถอนคำแถลงนั้นเสีย โดยอ้างเหตุว่าบัญชีเดินสะพัดที่โจทก์ทำขึ้นเกี่ยวกับหนี้รายนี้ไม่ถูกต้อง โจทก์หักหนี้ผิดพลาด
ซึ่งจำเลยก็ได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีขึ้นแล้ว ที่ศาลเกี่ยวกันกับหนี้สินรายที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ อีกทั้งโจทก์เองก็ได้ดำเนินคดีอาญากัรบนายสัญญา ยมสมิต กรรมการผู้จัดการของโจทก์ อันมีข้อหาเกี่ยวพันอยู่กับหนี้สินรายนี้ด้วย เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยได้มีโอกาสสู้คดีต่อไปตามกระบวนความ ที่ศาลแพ่งสืบพยานโจทก์เพียงปากเดียว แล้วสั่งงดสืบพยานเสีย และชี้ขาดไปโดยไม่ให้โอกาสจำเลยต่อสู้คดีนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา
พิพากษายืนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำสั่งศาลแพ่งที่สั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเสีย ให้ศาลแพ่งดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ส่วนการที่จะรอคดีนี้ไว้เพื่อฟังผลของคดีดำที่ ๒๑๐๕/๒๕๐๓ นั้น เมื่อมีการพิจารณาใหม่ ก็ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลแพ่งว่าจะรอคดีหรือไม่