แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรับตั๋วเงินเช็คเดินทางไว้คราวเดียวกัน 19 ฉบับ โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แม้ภายหลังจำเลยจะแยกใช้ตั๋วเงินเช็คเดินทางดังกล่าวเป็น 2 ครั้ง ก็เป็นความผิดฐานรับของโจรเพียงกรรมเดียว เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจรในคดีก่อนเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรเป็นคดีนี้ซ้ำอีก เพราะสิทธิฟ้องคดีอาญาของโจทก์ระงับลงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) การที่จำเลยใช้ตั๋วเงินเช็คเดินทางปลอม 13 ฉบับ รวมเป็นเงิน12,585 บาท และใช้หนังสือเดินทางปลอมในคราวเดียวกัน เพื่อขอแลกเงินจากผู้เสียหาย เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อหลอกลวงเอาเงินจำนวนดังกล่าวจากผู้เสียหายเพียงประการเดียว จึงเป็นความผิดกรรมเดียว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,265, 266, 268, 334, 335, 341, 342, 357, 91, 33 ริบของกลางให้จำเลยคืนเงินจำนวน 12,585 บาทแก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6275/2531 และ 6376/2531ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรและฐานอื่นตามฟ้องนอกจากความผิดฐานลักทรัพย์ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357, 264, 266, 268 ประกอบมาตรา 83, 91 ฐานรับของโจรลงโทษจำคุก 2 ปี ฐานปลอมเอกสารหนังสือเดินทางและฐานใช้เอกสารหนังสือเดินทางปลอม ให้ลงโทษฐานใช้หนังสือเดินทางปลอมแต่กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 2 ปี ฐานปลอมเอกสารตั๋วเงินเช็คเดินทาง และฐานใช้เอกสารตั๋วเงินเช็คเดินทางปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เช็คเดินทางปลอม แต่กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำเลยกระทำผิดฐานนี้รวม 13 กรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 13 กระทง จำคุก 26 ปี รวมเป็นกระทำความผิดทั้งสิ้น 15 กระทง จำคุก 30 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 15 ปี ให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6275/2531 และ 6276/2531 ของศาลชั้นต้นให้จำเลยคืนเงินจำนวน 12,585 บาท แก่ผู้เสียหาย ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีควาผมิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266(4), 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 83, 90 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 266(4) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 ปีลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปีให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานรับของโจร นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา โดยโจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงได้ความว่า จำเลยรับตั๋วเงินเช็คเดินทางไว้ในความครอบครองในคาาวเดียวกันรวม 19 ฉบับ โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ได้แก่ตั๋วเงินเช็คเดินทางในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6275/2531 และ 6276/2531 ของศาลชั้นต้น รวมทั้งตั๋วเงินเช็คเดินทางในคดีนี้ หลังจากนั้นจำเลยได้นำตั๋วเงินเช็คเดินทางที่รับไว้จำนวน 13 ฉบับไปใช้ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2531 และในวันรุ่งขึ้นได้นำตั๋วเงินเช็คเดินทางที่เหลืออยู่จำนวน 6 ฉบับไปใช้จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม และศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตั๋วเงินเช็คเดินทางจำนวน 6 ฉบับไปแล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงดังกล่าวข้างต้น เห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ ฯลฯ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจรต้องระวางโทษ…ฯลฯ…”การกระทำความผิดฐานรับของโจรโดยรับทรัพย์ไว้เพื่อช่วยจำหน่ายโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มา โดยการกระทำความผิดดังระบุไว้จึงเป็นความผิดสำเร็จทันทีตั้งแต่เวลาที่รับทรัพย์นั้นไว้ในความครอบครอง หลังจากนั้นถึงแม้ว่าผู้กระทำจะได้แยกทรัพย์ที่รับไว้ออกใช้หรือจำหน่ายประการใดก็หาใช่การกระทำความผิดฐานรับของโจรทรัพย์ที่ได้รับไว้นั้นขึ้นอีกไม่ คงเป็นการกระทำความผิดฐานรับของโจรเพียงครั้งเดียว เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีก่อนเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธินำการกระทำนั้นมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยซ้ำอีก เพราะสิทธิฟ้องคดีอาญาสำหรับการกระทำดังกล่าวระงับลงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา39(4)
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปมีว่า การที่จำเลยใช้ตั๋วเงินเช็คเดินทางปลอมจำนวน 13 ฉบับ เพื่อขอแลกเงินจากผู้เสียหายและใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อแสดงตนเป็นบุคคลอื่นซึ่งเป็นเจ้าของตั๋วเงินเช็คเดินทางดังกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายในคราวเดียวกัน เป็นการกระทำความผิดฐานใช้เอกสารปลอมหลายกรรมต่างกันหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าในการพิจารณาว่าการกระทำความผิดใดเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ นอกจากพิจารณาถึงสภาพของการกระทำและเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว ยังจะต้องพิจารณาถึงเจตนาในการกระทำความผิดอันเป็นองค์ประกอบภายในจิตใจของผู้กระทำความผิดนั้นด้วย พฤติการณ์ของจำเลยตามฟ้องคดีนี้ชี้ชัดว่า จำเลยต้องการหลอกลวงเอาเงินจากผู้เสียหายเป็นสำคัญยิ่งกว่าใช้หนังสือเดินทางและตั๋วเงินเช็คเดินทางเป็นรายฉบับ ตั๋วเงินเช็คเดินทางจำนวน 13 ฉบับ ตามฟ้องมีจำนวนเงินรวมกันทุกฉบับเพียง 12,585 บาท ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะต้องแยกหลอกลวงเอาเงินจำนวนปลีกย่อยหลายจำนวนจำเลยนำเอกสารทุกฉบับไปแสดงต่อนายเอื้อชัย จูปั้น หนักงานของธนาคารผู้เสียหายในคราวเดียวกันจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาอันเดียวหาได้มีเจตนาให้มีผลแยกต่างหากจากกันไม่ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันดังที่โจทก์ฎีกา
พิพากษายืน.