คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4745/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในคดีก่อน ฉ. ฟ้องโจทก์เรียกเงินตามสัญญากู้ จำเลยเบิกความเป็นพยานให้ ฉ.ว่า รู้เห็นการกู้ยืมเงิน การรับเงินและลงชื่อเป็นพยานด้วยเมื่อโจทก์เบิกความยอมรับว่าได้กู้เงินไปตามสัญญากู้ในคดีก่อนจริงเพียงแต่อ้างว่าได้ชำระหนี้ไปบางส่วนแล้ว คำเบิกความของจำเลยหากจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี และแม้โจทก์จะมิได้กู้เงินถึงจำนวนตามฟ้อง แต่คำเบิกความของจำเลยในคดีก่อนก็มิได้ยืนยันว่าโจทก์กู้เงิน ฉ.ไปจำนวนเท่าใดเพราะไม่ได้ร่วมนับเงินที่โจทก์กู้ไปด้วย คำเบิกความของจำเลยในส่วนนี้จึงมิใช่ข้อสำคัญในคดีเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ตามเอกสารหมาย จ.5จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านที่ศาลแขวงพระนครเหนือว่า “รู้จักนางเฉลิมศรี ตัญญบุตร มา 7-8 ปี” จำเลยให้การเมื่อวันที่ 8พฤศจิกายน 2528 เมื่อนับเวลาย้อนหลังขึ้นไป 7-8 ปี จำเลยรู้จักนางเฉลิมศรีเมื่อปี 2520 หรือ 2521 สัญญากู้เอกสารหมาย จ.3ระบุว่าทำเมื่อ 23 เมษายน 2519 เอกสารดังกล่าวทำก่อนรู้จักจำเลยนานถึง 2 ปี จำเลยจึงไม่รู้เห็นการทำสัญญาเอกสารหมาย จ.3 แน่นอนจำเลยเบิกความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 8620/2528 ว่า รู้เห็นการกู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.5 คือเอกสารหมาย จ.3 ในคดีนี้และเห็นการรับเงินและลงชื่อเป็นพยานด้วย ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลจึงเป็นเท็จ คำเบิกความเกี่ยวกับการรับเงิน และลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเป็นข้อสำคัญของคดีเพราะหากศาลแพ่งเชื่อตามคำเบิกความของจำเลยโจทก์ก็ต้องแพ้คดีนางเฉลิมศรีนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามทางไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก็เบิกความยอมรับว่า ได้กู้เงินตามภาพถ่ายสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จ.2 และ จ.3จริง เพียงแต่อ้างว่าได้ชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ผู้ให้กู้ไปแล้วคงค้างเงินกู้ครั้งแรก 10,000 บาท เท่านั้น เมื่อโจทก์เบิกความรับเช่นนี้ คำเบิกความของจำเลยที่ว่ารู้เห็นการกู้ยืมก็ดีเห็นการรับเงินก็ดี และลงชื่อเป็นพยานด้วยก็ดี หากจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีนั้นแต่อย่างใดส่วนที่โจทก์ฎีกาข้อต่อมาว่าทางไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ยืนยันว่าไม่ได้กู้เงิน 13,600 บาทจากนางเฉลิมศรี แต่จำเลยกลับเบิกความยืนยันว่าโจทก์กู้เงิน13,600 บาท และเห็นรับเงินจากนางเฉลิมศรีผู้ให้กู้ และลงชื่อเป็นพยานด้วย จึงเป็นเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามทางนำสืบของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์เบิกความว่าตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.3 นี้ระบุว่า โจทก์กู้เงินนางเฉลิมศรีไปเมื่อเดือนเมษายน 2519 เป็นเงิน 13,600 บาท แต่จริง ๆแล้วในครั้งนั้นโจทก์กู้เงินไปเพียง 3,600 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่า โจทก์ก็ยอมรับเช่นเดียวกันว่าได้กู้เงินนางเฉลิมศรีจริง แต่กู้เพียง 3,600 บาท เท่านั้น และตามคำเบิกความของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.4 จำเลยก็มิได้ยืนยันว่าโจทก์ได้กู้เงินนางเฉลิมศรีไปเป็นจำนวนเท่าใด เพราะจำเลยไม่ได้ร่วมนับเงินจำนวนที่โจทก์กู้ไปด้วย คำเบิกความของจำเลยในส่วนนี้จึงมิใช่เป็นข้อสำคัญในคดีเช่นเดียวกัน จำเลยไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share