คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.พ.พ. มาตรา 899 บัญญัติว่า “ข้อความอันใดซึ่งมิได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายลักษณะนี้ ถ้าเขียนลงในตั๋วเงิน ท่านว่าข้อความอันนั้นหาเป็นผลอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ตั๋วเงินนั้นไม่” อันเป็นบทบัญญัติเบ็ดเสร็จทั่วไปใช้บังคับกับตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็ค ส่วนมาตรา 915 บัญญัติว่า “ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินและผู้สลักหลังคนใด ๆ ก็ดีจะจดข้อกำหนดซึ่งจะกล่าวต่อไปนี้ลงไว้ชัดแจ้งในตั๋วนั้นก็ได้คือ (1) ข้อกำหนดลบล้างหรือจำกัดความรับผิดของตนเองต่อผู้ทรงตั๋วเงิน…” ซึ่งเป็นบทบัญญัติในเรื่องตั๋วแลกเงินไม่ได้บัญญัติไว้ในบทเบ็ดเสร็จทั่วไปเช่นเดียวกับมาตรา 899 และ มาตรา 985 ซึ่งบทบัญญัติในเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้บัญญัติให้นำมาตรา 915 มาใช้กับตั๋วสัญญาใช้เงิน ดังนั้นการที่จำเลยที่ 3 สลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินมีข้อความว่า ห้ามใช้สิทธิไล่เบี้ยผู้สลักหลังนั้นเป็นข้อความที่ขัดต่อมาตรา 983 (2) หาเป็นผลบังคับแก่ตั๋วสัญญาใช้เงินตามมาตรา 899 ไม่ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2539 จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินรวมสองฉบับจำนวนเงินฉบับละ 7,500,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน และจำเลยที่ 4 เป็นผู้อาวัลโดยลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าของตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับ ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้สลักหลังโอนตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับให้แก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับดังกล่าวขายลดให้โจทก์ โดยลงชื่อสลักหลังและมีข้อความว่า ห้ามใช้สิทธิไล่เบี้ยแก่ผู้สลักหลัง เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดชำระ โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระต้นเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 15,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี คำนวณถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 522,916.63 บาท รวมเป็นเงิน 15,522,916.63 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน การที่โจทก์รับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับที่พิพาทเป็นการกระทำนอกขอบอำนาจวัตถุประสงค์ของโจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับที่พิพาทไปเรียกเก็บเงิน และขอชำระหนี้จากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ก่อน แต่โจทก์กลับเพิกเฉยและนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการฟ้องคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้ตกลงกับโจทก์ไม่ให้ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้สลักหลัง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับไม่ได้ตกลงเรื่องดอกเบี้ยกันไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลอนุญาต และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 4 เสียจากสารบบความ โดยโจทก์ได้รับชำระหนี้ของจำเลยที่ 4 จากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) บางส่วนแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 14,803,131.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาททั้งสองฉบับหรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยที่ 3 ลงชื่อสลักหลังและมีข้อความว่า ห้ามใช้สิทธิไล่เบี้ยแก่ผู้สลักหลังไม่ขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 899, 922 ประกอบมาตรา 985 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เห็นว่า มาตรา 899 แห่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติเบ็ดเสร็จทั่วไปใช้บังคับกับตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็ค เมื่อมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ข้อความอันใดซึ่งมิได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายลักษณะนี้ ถ้าเขียนลงในตั๋วเงินท่านว่าข้อความอันนั้นหาเป็นผลอย่างใดแก่ตั๋วเงินไม่” และที่จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่า ป.พ.พ. มาตรา 915 บัญญัติว่า “ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินและผู้สลักหลังคนใด ๆ ก็ดี จะจดข้อกำหนดซึ่งจะกล่าวต่อไปนี้ลงไว้ชัดแจ้งในตั๋วนั้นก็ได้ คือ (1) ข้อกำหนดลบล้างหรือจำกัดความรับผิดของตนเองต่อผู้ทรงตั๋วเงิน…” ซึ่งบัญญัติอยู่ในลักษณะ 21 บรรพ 3 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 สลักหลังและมีข้อความห้ามใช้สิทธิไล่เบี้ยผู้สลักหลัง ย่อมเป็นไปตามมาตรา 899 แล้วนั้น เห็นว่า มาตรา 915 บัญญัติไว้ในเรื่องตั๋วแลกเงิน ไม่ได้บัญญัติไว้ในบทเบ็ดเสร็จทั่วไปเช่นเดียวกับมาตรา 899 และมาตรา 985 ซึ่งเป็นบทบัญญัติในตั๋วสัญญาใช้เงิน ไม่ได้บัญญัติไว้ให้นำมาตรา 915 ของบทบัญญัติตั๋วแลกเงินมาใช้กับตั๋วสัญญาใช้เงิน ดังนั้นการที่จำเลยที่ 3 สลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินมีข้อความว่า ห้ามใช้สิทธิไล่เบี้ยผู้สลักหลังนั้น เป็นข้อความที่ขัดต่อมาตรา 983 (2) หาเป็นผลบังคับแก่ตั๋วสัญญาใช้เงินตามมาตรา 899 ไม่ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาททั้งสองฉบับแก่โจทก์ ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ 3 ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 20,000 บาท แทนโจทก์

Share