แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นบริษัทจำกัด  มีวัตถุประสงค์ในการทำการกู้ยืมเงินและให้กู้ยืม  รับจำนำ  จำนองสังหาริมทรัพย์  และอสังหาริมทรัพย์  โดยมีหรือไม่มีหลักประกัน  รวมทั้งการค้ำประกันหนี้สินทุกประเภททั้งในและนอกประเทศ  บริษัทโจทก์ได้ตั้งวงแชร์และเป็นผู้ค้ำประกันลูกวง  กล่าวคือ  หากลูกวงผู้ประมูลแชร์ได้ไม่ชำระเงินค่าแชร์ให้แก่ลูกวงแชร์คนต่อไปบริษัทโจทก์จะชำระแทน  ดังนี้  ถือได้ว่าบริษัทโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันการเล่นแชร์ซึ่งเป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่บังคับได้ตามกฎหมาย  และตรงกับวัตถุประสงค์ของบริษัทโจทก์  จึงหาเป็นการดำเนินกิจการนอกวัตถุประสงค์ของบริษัทโจทก์ไม่  เมื่อจำเลยที่ 1  ซึ่งเป็นลูกวงได้รับเงินแชร์ไปแล้ว  ไม่นำเงินมาชำระค่าแชร์ให้แก่ลูกวงคนอื่น  และบริษัทโจทก์ได้ใช้เงินแทนแก่ลูกวงไป  จำเลยที่ 1  จึงมีหน้าที่ใช้เงินคืนแก่บริษัทโจทก์  และจำเลยที่ 2  ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดตามสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทโจทก์  โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้  และนอกจากนี้การที่บริษัทโจทก์จะมีอำนาจทำสัญญาค้ำประกันการเล่นแชร์ได้หรือไม่อย่างไร  ก็เป็นเรื่องของทางราชการที่จะว่ากล่าวกับบริษัทโจทก์ว่าทำนอกวัตถุประสงค์หรือไม่  ไม่เกี่ยวกับจำเลย
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1804/2500)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นบริษัทจำกัดประเภทพาณิชย์กิจในการตั้งวงแชร์  เปียหวย  มีสิทธิและหน้าที่รับผิดชอบต่อลูกวงทุกคน  จำเลยที่ ๑  เป็นลูกวงคนหนึ่ง  จำเลยที่ ๑ ประมูลแชร์และรับเงินจากโจทก์ไปแล้ว  โดยจำเลยที่ ๒  ได้ทำสัญญาค้ำประกันว่าถ้าจำเลยที่ ๑  ไม่ชำระค่าแชร์งวดต่อ ๆ ไป  จำเลยที่ ๒ จะชำระแทน  ต่อมาจำเลยที่ ๑  ไม่ส่งค่าแชร์ให้โจทก์  โจทก์ทวงถาม  จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระ  จึงขอให้จำเลยชำระเงินค่าแชร์ ๒๒,๙๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า  การที่บริษัทโจทก์เป็นเจ้าของมือแชร์นั้นเป็นกิจการอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์  ซึ่งไม่สามารถจะทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙  ทั้งมิใช่เป็นการค้ำประกันหนี้สิน  บริษัทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ปัญหาว่าบริษัทโจทก์ดำเนินกิจการนอกวัตถุประสงค์หรือไม่  และจะมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่นั้น  เห็นว่าตามข้อเท็จจริงได้ความว่า  บริษัทโจทก์ตั้งวงแชร์และเป็นผู้รับประกันลูกวง  กล่าวคือ  หากลูกวงผู้ประมูลแชร์ได้  ไม่ชำระเงินค่าแชร์ให้แก่ลูกวงคนต่อไป  บริษัทโจทก์จะชำระแทน  เช่นนี้  ถือได้ว่าบริษัทโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันการเช่นแชร์  ซึ่งเป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่บังคับได้ตามกฎหมาย  ตรงกับวัตถุประสงค์ตามหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ ๓ (๑๑)  ซึ่งมีความว่า  “ทำการกู้ยืมเงินและให้กู้ยืมเงิน  รับจำนำ  จำนองสังหาริมทรัพย์  และอสังหาริมทรัพย์  โดยมีหรือไม่มีหลักประกัน  รวมทั้งการค้ำประกันหนี้สินทุกประเภททั้งในประเทศและนอกประเทศ”  จึงหาเป็นการดำเนินกิจการนอกวัตถุประสงค์ดังข้อวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองไม่  เมื่อบริษัทโจทก์ใช้เงินแทนแก่ลูกวงไป  จำเลยที่ ๑  ก็มีหน้าที่ต้องใช้เงินคืนแก่บริษัทโจทก์  และจำเลยที่ ๒  ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาที่จำเลยทั้งสองทำไว้กับโจทก์  โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลย  และนอกจากนี้การที่บริษัทโจทก์จะมีอำนาจทำสัญญาค้ำประกันการเล่นแชร์ได้หรือไม่อย่างไร
ก็เป็นเรื่องของทางราชการที่จะว่ากล่าวกับบริษัทโจทก์ว่าทำนอกวัตถุประสงค์หรือไม่  หาเกี่ยวกับจำเลยไม่  ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๐๔/๒๕๐๐  คดีระหว่าง  บริษัท นวรัตน์ จำกัด  โดยนายเกษม  รัตนาวดี  กับพวก  กรรมการ  โจทก์ นายวิเชียร  เลขยานนท์  จำเลย  ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยอ้างว่า  บริษัทโจทก์ดำเนินกิจการนอกวัตถุประสงค์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น  ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย  ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
กรณีไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างพิพากษาใหม่  ข้อเท็จจริงได้ความว่า  จำเลยที่ ๑ ค้างชำระเงินแชร์ที่บริษัทโจทก์ใช้แทนไปเป็นเงิน ๒๒,๙๕๐ บาท  โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาภายในกำหนด ๗ วัน  นับแต่วันบอกกล่าว  ซึ่งจำเลยได้รับคำบอกกล่าวเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๕  จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ตามสัญญาที่ทำไว้  ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๑๕  อันเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไป
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒  ร่วมกันใช้เงิน ๒๒,๙๕๐ บาท  พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงินนี้ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๑๕  เป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินแก่โจทก์เสร็จ

