คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จ้างจำเลยต่อเรือ เป็นสัญญาจ้างทำของจำเลยผู้รับจ้างมีหน้าที่ทำเรือให้เสร็จภายในกำหนดตามสัญญา โจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็จะต้องให้สินจ้างแก่จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น เมื่อในสัญญาไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องชำระสินจ้างให้จำเลยครบถ้วนก่อนวันที่ได้กำหนดตามสัญญา โจทก์จะพึงใช้สินจ้างแก่จำเลยก็ต่อเมื่อได้รับมอบเรือที่ได้ทำเสร็จเรียบร้อยในวันครบกำหนดเท่านั้น
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด การชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ ทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทน ซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 (3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยให้ต่อเรือกระแชง ๑ ลำ เป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ในวันทำสัญญา จำเลยรับเงินมัดจำไป ๕,๐๐๐ บาท กำหนดทำเสร็จภายใน ๓ เดือน ถ้าไม่ทำยอมให้ปรับเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท จำเลยได้รับเงินไปอีก ๑๙,๐๐๐ บาท และ ๑๕,๐๐๐ บาท ครบ ๓ เดือน จำเลยต่อไม่เสร็จ โจทก์ไปร้องทุกข์อำเภอ อำเภอเรียกไปเปรียบเทียบ จำเลยขอยืดเวลาอีก ๒ เดือน ถ้ายังไม่เสร็จยอมให้ปรับเป็นรายวัน ๆ ละ ๑๖๖ บาท ครบกำหนดเรือยังไม่เสร็จ ขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำและค่าเรือ ๓๙,๐๐๐ บาท ให้ใช้เบี้ยปรับและค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๑,๘๓๐ บาท รวม ๕๐,๘๓๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ในเงินต้น ๕๐,๘๓๐ บาท ถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ กับค่าเบี้ยปรับวันละ ๑๖๖ บาทและค่าเสียหายเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๓๙,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ กับให้เสียค่าปรับแก่โจทก์วันละ ๑๖๖ บาท นับแต่วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๘ ถึงวันฟ้องและให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี จากเงินทั้ง ๒ จำนวน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินค่าปรับเบี้ยปรับใน การทำเรือพิพาทไม่เสร็จตามกำหนดให้แก่โจทก์วันละ ๑๖๖ บาท นับแต่วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๘ จนถึงวันฟ้องพร้อมทั้งดอกเบี้ย ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ทำเรือให้โจทก์ไม่เสร็จในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๘ ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามสัญญาที่จำเลยจะส่งมอบเรือให้โจทก์และเห็นว่า การที่โจทก์จ้างจำเลยทำเรือ เป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งจำเลยผู้รับจ้างมีหน้าที่จะต้องทำเรือให้เสร็จภายในกำหนดตามสัญญา โจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็จะต้องให้สินจ้างแก่จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น และในคดีนี้ในสัญญาไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องชำระสินจ้างให้จำเลยครบถ้วนก่อนวันที่ได้กำหนดตามสัญญา ฉะนั้น โจทก์จะพึงใช้สินจ้างแก่จำเลยก็ต่อเมื่อได้รับมอบเรือที่ได้ทำเสร็จเรียบร้อยในวันครบกำหนดเท่านั้น คดีนี้ ปรากฏแล้วว่าจำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ ในวันครบกำหนดตามสัญญา เนื่องจากเรือพิพาทถูกนางสำเนียงเจ้าหนี้จำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๑๙๗/๒๕๐๘ ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด เมื่อเป็นดังนี้ การชำระหนี้ (การส่งมอบเรือแก่โจทก์) ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ (โดยจำเลยไปก่อหนี้กับนางสำเนียงแล้วไม่ชำระหนี้ จนเป็นเหตุให้นางสำเนียงยึดเรือไป) ทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทน ซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำจำนวน ๓๙,๐๐๐ บาท คืนจากจำเลยในวันนั้น ทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง ๔ วัน จึงถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยต้องส่งคืนมัดจำให้แก่โจทก์ตามมาตรา ๓๗๘ (๓) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
พิพากษายืน

Share