คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจ้างว่าความซึ่งมีข้อความว่า ฟ้องเรียกทรัพย์สินเป็นมูลค่าประมาณ 24 ล้านบาท ขอคิดค่าจ้างรวมเป็นเงิน 12ล้านบาทถ้าเรียกร้องได้มากกว่านี้ก็ไม่เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะเป็นการกำหนดค่าจ้างไว้ครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนทรัพย์ที่จะฟ้องเรียกร้องจากจำเลยก็ตามแต่ข้อความที่เขียนต่อไปว่า ‘แต่ถ้าได้น้อยกว่าที่กะประมาณไว้นี้ ให้ลดลงตามส่วนจำนวนเงินที่ได้มา’ ดังนี้ เป็นการแสดงอยู่ว่าถ้าศาลตัดสินให้น้อยกว่าจำนวนเงินที่ฟ้องทนายก็จะเรียกค่าจ้างเอาครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนทรัพย์ที่ศาลตัดสินให้เสมอไป จึงเป็นการทำสัญญาเรียกค่าจ้างว่าความโดยวิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่คู่ความนั่นเอง นอกจากนี้ตามพฤติการณ์ในเรื่องก็เห็นได้ชัดว่าทนายจัดทำสัญญาตลอดจนปฏิบัติต่อสู้ความ ได้กระทำไปเกินขอบเขตแห่งความเป็นธรรมอยู่มาก สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2477 มาตรา 12 อนุมาตรา 2 และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มารดาของจำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาจ้างโจทก์กับพวกให้เป็นทนายว่าต่างในคดีแพ่งแดงที่ 858/2506 ของศาลแพ่ง มารดาจำเลยยังค้างชำระค่าทนายอีก 100,000 บาทก็ถึงแก่กรรม โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ค่าจ้างว่าความที่ยังค้างอยู่ในฐานะที่จำเลยเป็นทายาทผู้รับมรดก จำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับ

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยนอกนั้นต่อสู้ความว่า มารดาจำเลยได้ชำระค่าจ้างว่าความแก่โจทก์แล้ว เงินที่โจทก์อ้างว่าค้างอยู่ 100,000 บาทนั้นเป็นค่าวิ่งเต้นแก่ผู้ใหญ่ในศาลแพ่ง จำเลยไม่ต้องรับผิด

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า สัญญาจ้างว่าความตามเอกสารจ.1 เป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินอันเป็นมูลพิพาทขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2477 มาตรา 12(2) และขัดต่อความสงบฯ สัญญาจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความในสัญญาที่ว่า “ข้าพเจ้าหม่อมเทียบเพ็ญพัฒน์ (หม้าย) ขอว่าจ้างนายหรุ่น แขวงโสภา และนายเนื่อง สุขพูลให้เป็นทนายว่าต่างหรือแก้ต่างในคดีที่ข้าพเจ้าเป็นโจทก์ฟ้องม.ร.ว.เพ็ญพิไชย เพ็ญพัฒน์ และ ม.ร.ว.พัฒนมหินทร์ เพ็ญพัฒน์ เรียกทรัพย์สินเป็นมูลค่าประมาณ 24,000,000 บาท โดยขอคิดค่าจ้างให้รวมเป็นเงิน 12,000,000 บาท ถ้าเรียกร้องได้มากกว่านี้ก็ไม่เพิ่มขึ้น” นั้น แม้จะเป็นการกำหนดค่าจ้างไว้ครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนทรัพย์ที่จะฟ้องร้องเรียกจากจำเลยก็ตาม แต่ข้อความที่เขียนต่อไปว่า “แต่ถ้าได้น้อยกว่าที่กะประมาณไว้นี้ให้ลดลงตามส่วนจำนวนเงินที่ได้มา” เป็นการแสดงอยู่ว่า ถ้าศาลตัดสินให้น้อยกว่าจำนวนเงินที่ฟ้อง ทนายก็จะเรียกค่าจ้างเอาครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนทรัพย์ที่ศาลตัดสินให้เสมอไป จึงเท่ากับเป็นการทำสัญญาเรียกค่าจ้างว่าความโดยวิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาท อันจะพึงได้แก่ลูกความนั่นเองนอกจากนี้ ตามพฤติการณ์ในเรื่องก็เห็นได้ชัดว่าทนายจัดทำสัญญาตลอดจนปฏิบัติต่อสู้ความได้กระทำไปเกินขอบเขตแห่งความเป็นธรรมอยู่มาก สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2477 มาตรา 12 อนุมาตรา 2 และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share