คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2002/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ว่า ละเมิดบุกรุกที่พิพาทของโจทก์ แต่ปรากฏว่าโจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยทั้งสี่นี้ในประเด็นและที่พิพาทรายเดียวกันนี้มาก่อนแล้วและได้ถอนฟ้องไปโดยแถลงต่อศาลไว้ว่าจะไม่นำคดีมาฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทนี้อีก ดังนี้ คำแถลงของโจทก์ในคดีก่อนซึ่งยอมสละสิทธินำคดีเรื่องนี้มาฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่โจทก์ในคดีนั้นได้ทำต่อศาลและต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งและย่อมผูกมัดโจทก์ โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสี่นี้อีกไม่ได้
ส่วนจำเลยที่ 5 และ 6 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1ได้แบ่งขายที่พิพาทให้ก่อนที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่1 ถึง 4 ในคดีก่อนดังกล่าว สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้ขายมีอยู่อย่างไรย่อมตกเป็นสิทธิของจำเลยที่ 5และ 6 ผู้ซื้อด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกแล้ว ก็จะฟ้องจำเลยที่ 5 และ 6ไม่ได้ด้วย

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกบุกรุกเข้าแย่งครอบครองที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ขับไล่จำเลยและบริวารและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยร่วมกันให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ซึ่งได้หักล้างครอบครองมาและได้แจ้งการครอบครองต่ออำเภอเมื่อปี ๒๔๙๘ ในปี ๒๕๐๘ เจ้าพนักงานได้ออก น.ส.๓ ให้แล้วได้แบ่งขายให้จำเลยอื่นโดยสุจริต โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึง ๔ มาแล้วเกี่ยวกับที่พิพาทแปลงนี้ แต่โจทก์ได้ถอนฟ้องโดยแถลงต่อศาลว่าจะไม่กลับมาฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทนี้อีก ปรากฏตามสำนวนคดีดำที่ ๓๖๖/๒๕๐๘ แดงที่ ๑๖๔/๒๕๐๙ ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์จึงไม่มีสิทธิมาฟ้องคดีนี้อีก
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับในข้อเคยถอนฟ้องตามคดีดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งที่พิพาท จำเลยที่ ๑ ถึง ๔ และประเด็นแห่งคดีในคดีนั้นกับคดีนี้เป็นรายเดียวและอย่างเดียวกันทั้งหมด และจำเลยที่ ๑ ได้แบ่งขายที่พิพาทนี้แก่จำเลยที่ ๓ ถึง ๖ ในคดีนี้ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดีหมายเลขแดงดังกล่าว
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า การที่โจทก์แถลงว่าจะไม่ฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึง ๔ อีกในคดีแดงดังกล่าวเป็นคำมั่นหรือข้อตกลงกับจำเลยทั้งสี่ อันถือได้ว่าโจทก์ได้ยอมความกับจำเลยทั้งสี่แล้ว โจทก์จะมาฟ้องใหม่อีกไม่ได้ ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๕ และ ๖ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้แบ่งขายให้จำเลยทั้งสองนี้ด้วยสิทธิของจำเลยที่ ๑ มีอยู่อย่างไร ย่อมตกเป็นสิทธิของจำเลยที่ ๕ และ ๖ ผู้ซื้อด้วย โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยที่ ๕ และ ๖ ไม่ได้ด้วยเพราะมูลหนี้ที่ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นมูลหนี้เดียวกันกับที่ฟ้องจำเลยที่ ๑ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การถอนฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๖ มีผลให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมซึ่งถือเสมือนหนึ่งมิได้มีการฟ้องเลย ที่โจทก์แถลงว่าจะไม่ฟ้องอีกนั้น ไม่มีลักษณะเป็นการประนีประนอมยอมความและมิใช่เรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์ได้แถลงต่อศาลตามรายงานกระบวนพิจารณาว่าจะไม่ฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึง ๔ เกี่ยวกับที่พิพาทนี้อีกนั้นเป็นกระบวนพิจารณาที่โจทก์ในคดีนั้นได้ทำต่อศาลและต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง คำแถลงของโจทก์ที่ได้ยอมสละสิทธิที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๖ ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้ถอนฟ้องที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่อีก จึงผูกมัดโจทก์ โจทก์จึงจะนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึง ๔ นี้อีกไม่ได้
ส่วนสิทธิของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๕ และ ๖ นั้น เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ได้แบ่งขายที่พิพาทแก่จำเลยที่ ๕ และ ๖ ก่อนฟ้องคดีดังกล่าว สิทธิของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ขายมีอยู่อย่างไรย่อมตกเป็นสิทธิแก่จำเลยที่ ๕ และ ๖ ผู้ซื้อด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ ก็จะฟ้องจำเลยที่ ๕ และ ๖ หาได้ไม่พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share