คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4688/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การประเมินค่ารายปีสำหรับภาษีโรงเรือนประเภทโรงแรมตามสูตรค่ารายปี เท่ากับ ค่าเช่าห้อง คูณ จำนวนห้อง คูณ 15 ส่วน100 ซึ่งโจทก์มิได้ยอมรับว่าถูกต้อง จะถือว่าเป็นค่ารายปีที่ยุติแล้วไม่ได้ ทั้งข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความก็ไม่ปรากฏว่าจำนวนค่าเช่าปีที่ล่วงมาแล้วและปีที่พิพาทกันที่จะให้เช่าได้นั้นมีราคาแตกต่างกัน จึงต้องนำค่ารายปีของปีที่ล่วงมาแล้วกำหนดเป็นค่ารายปีปีที่พิพาท
การคืนเงินค่าภาษีส่วนที่ชำระเกินจะต้องคืนภายในกำหนดสามเดือน มิฉะนั้นย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามมาตรา 39 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนฯ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของอาคารซึ่งใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม มีห้องพักจำนวน ๑๒๐ ห้อง เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๒๗ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้โจทก์ชำระเป็นเงิน ๒๐๑,๔๕๐ บาท ภายใน ๙๐ วัน โจทก์เห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้อง จึงได้ยื่นอุทธรณ์การประเมิน จำเลยที่ ๒ ได้ชี้ขาดอุทธรณ์ของโจทก์โดยให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนเป็นเงิน ๒๐๑,๔๕๐ บาท โจทก์เห็นว่าการประเมินและคำชี้ขาดอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ถูกต้อง ขอให้พิพากษาว่าใบแจ้งการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน ลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗ และใบแจ้งคำชี้ขาดอุทธรณ์ ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๘ ไม่ถูกต้องให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินและเงินเพิ่มที่เรียกเก็บเกินไปจำนวน ๑๐๓,๐๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๓ คำนวณค่ารายปีใหม่ โดยอาศัยหลักเกณฑ์การคำนวณค่ารายปีสำหรับโรงแรมชั้นหนึ่ง =ค่าเช่า x จำนวนห้อง x ๙๑๒x๑๕/๑๐๐ หลักเกณฑ์ดังกล่าวใช้ค่าเช่าขั้นต่ำของห้องพักเดี่ยวของค่าเช่าที่เก็บในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จำนวนห้องละวันก็ได้กำหนดหักลดให้มีการเช่าเพียง ๒๑๙ วัน ซึ่งต่ำกว่าความเป็นจริง ส่วนอัตรา ๑๕/๑๐๐ นั้นคิดเป็นค่าเช่าห้องจริงหักค่าใช้จ่ายให้ ๘๕ เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากราคาเช่าพักหลักเกณฑ์ดังกล่าวจึงถูกต้องและเป็นธรรม เมื่อคำนวณแล้วเป็นค่าภาษีจำนวน ๒๐๑,๔๕๐ บาท โจทก์ไม่ชำระค่าภาษีตามกำหนดจึงต้องเสียเงินเพิ่ม ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของภาษีที่ประเมิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามใบแจ้งการประเมินฉบับลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗ ของจำเลยที่ ๓ เฉพาะรายการแรกและคำชี้ขาดของจำเลยที่ ๒ ตามใบแจ้งชี้ขาด ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๘ เฉพาะที่เกี่ยวกับการประเมินรายการแรก ให้จำเลยที่ ๒ คืนเงินค่าภาษีและเงินเพิ่มที่เก็บเกินไปแก่โจทก์ ๑๐๑,๙๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๒๙ จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลักเกณฑ์ในการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินจะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๘ และมาตรา ๑๘ จำเลยที่ ๑ จะนำเอาเป้าหมายที่ตั้งขึ้นไว้เพื่อเก็บภาษีโรงเรือนให้ได้ในปีใดเท่าใดนั้นมากำหนดค่ารายปีขึ้นเพื่อให้การเก็บภาษี โรงเรือนเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการย่อมไม่ถูกต้อง ค่ารายปีที่จำเลยที่ ๑ กำหนดในปี พ.ศ.๒๕๒๗ จำเลยที่ ๑ กำหนดโดยคำนวณตามสูตรที่จำเลยที่ ๑ คิดขึ้นในเมื่อคำฟ้องและการนำสืบของโจทก์ในคดีนี้ โจทก์มิได้ยอมรับว่าค่ารายปีที่คำนวณตามสูตรเป็นค่ารายปีที่ถูกต้องจึงนับถือว่าจำนวนดังกล่าวเป็นค่ารายปีที่ยุติแล้วไม่ได้ ส่วนค่ารายปีที่พิพาทคดีนี้คือปีพ.ศ. ๒๕๒๗ จะเป็นเท่าใดนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าโรงเรือนที่พิพาทโจทก์และจำเลยที่ ๑ มีกรณีเป็นข้อพิพาทกันในเรื่องค่ารายปีสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ซึ่งยุติแล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๗๘/๒๕๓๒จำนวน ๑,๑๘๒,๖๐๐ บาท และค่าภาษีสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ยุติตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๙๖/๒๕๓๑ จำนวน ๑,๑๘๒,๖๐๐ บาท ดังนั้นเมื่อพิจารณาค่ารายปีสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่ยุติดังกล่าวประกอบกับหลักเกณฑ์การกำหนดค่ารายปีตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๑๘ ที่บัญญัติไว้ว่า ให้เอาค่ารายปีของปีที่ล่วงมาเป็นหลัก และข้อเท็จจริงจากการนำสืบของทั้งสองฝ่ายไม่ปรากฏว่าในปีพ.ศ. ๒๕๒๖ และปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นั้น จำนวนค่าเช่าที่จะให้เช่าได้นั้นจะมีราคาแตกต่างกันไป จึงกำหนดว่าค่ารายปีที่พิพาทเป็นเงิน๑,๑๘๒,๖๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ กำหนดค่ารายปีสูงเกินไปเป็นการไม่ชอบเมื่อฟังว่าค่ารายปีเป็นเงิน ๑,๑๘๒,๖๐๐ บาท แล้ว ค่าภาษีโรงเรือนร้อยละสิบสองกึ่งจึงเป็นค่าภาษีจำนวน ๑๔๗,๘๒๕ บาท โจทก์จะต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ ๑๐ ของภาษีที่ประเมินเป็นเงิน ๑๕,๗๘๒.๕๐ บาทรวมเป็นค่าภาษีโรงเรือนส่วนที่พิพาทเป็นเงิน ๑๖๒,๖๐๗.๕๐ บาท โจทก์ได้ชำระไว้แล้วจำนวน ๑๙๑,๒๕๐ บาท จำเลยที่ ๑ จะต้องคืนส่วนที่เรียกเก็บเกินไปจำนวน ๒๘,๖๔๒.๕๐ บาท ภายในสามเดือนโดยไม่คิดค่าอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ถ้าจำเลยไม่คืนหลังจากนั้นก็ตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ คือเงินจำนวน ๒๘,๖๔๒.๕๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันฟังคำพิพากษานี้จนกว่าจะชำระเสร็จ.

Share