แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อประมาณ 8 เดือนก่อนโจทก์ฟ้องจำเลย เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5649 – 5650/2516 ของศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองตึกแถวพิพาทเลขที่ 166/5 และ 166/6 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์จึงฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ศาลฎีกาฟังว่าตึกแถวพิพาทเลขที่ 166/5 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยเข้าครอบครองตึกนั้นย่อมเป็นละเมิดอาจถูกโจทก์ ฟ้องขับไล่ได้หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองตึกแถวพิพาทดังกล่าวตลอดมาอีก โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ให้ออกจากตึกแถวพิพาท การฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพื่อขอให้บังคับ ตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกา ที่กล่าวข้างต้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวบ้านเลขที่ ๑๖๖/๕ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๗๙, ๒๘๐/๒๕๑๙ หลังจากศาลฎีกาพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสองและบริวารยังคงอยู่อาศัยและประกอบกิจการค้าในตึกแถวดังกล่าวของโจทก์ โจทก์จึงได้ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารให้ออกไปจากตึกแถวพิพาทของโจทก์พร้อมกับเรียกค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ ๑ ในคดีเดียวกันนี้จนศาลฎีกาได้พิพากษาแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำและโจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากตึกแถวพิพาทพร้อมกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องซ้ำ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องซ้ำหรือไม่นั้นตามประเด็นดังกล่าวข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อประมาณ ๘ เดือน ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๖๔๙-๕๖๕๐/๒๕๑๖ ของศาลแพ่ง จำเลยที่ ๑ ได้เข้าครอบครองตึกแถวพิพาทเลขที่ ๑๖๖/๕ และ ๑๖๖/๖ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ศาลฎีกาฟังว่าตึกแถวพิพาทเลขที่ ๑๖๖/๕เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยเข้าครอบครองตึกนั้นย่อมเป็นละเมิดอาจถูกโจทก์ฟ้องขับไล่ได้ คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๙-๒๘๐/๒๕๑๙ หลังจากคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ ๑ ยังคงครอบครองตึกแถวพิพาท เลขที่ ๑๖๖/๕ ตลอดมาอีกโจทก์และทนายโจทก์จึงได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองในคดีนี้ ซึ่งเป็นสามีภรรยากันให้ออกไปจากตึกแถวพิพาทเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ แต่จำเลยทั้งสองหาได้ออกไปไม่ เห็นว่าการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง เป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๙-๒๘๐/๒๕๑๙ ดังได้กล่าวไว้แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่โดยเหตุที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้พิจารณาพิพากษาชี้ขาดประเด็นข้ออื่นแห่งคดีอีกหลายข้อ จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาประเด็นข้ออื่นแห่งคดีที่ยังมิได้วินิจฉัยเสียก่อน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี