คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4685/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 1526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นเพียงบทบัญญัติที่กำหนดให้ศาลสามารถกำหนดค่าเลี้ยงชีพให้แก่คู่หย่าได้ในกรณีหนึ่ง เมื่อปรากฎว่าการหย่านั้นเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และการหย่านั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง มิได้เป็นบทบัญญัติที่บังคับว่าจะเรียกค่าเลี้ยงชีพได้แต่เฉพาะมีคดีฟ้องหย่าเท่านั้น ดังนั้นเมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีหย่าว่าจำเลยยอมจดทะเบียนหย่าให้โจทก์และยอมชำระค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์อัตราร้อยละ 35 ของเงินเดือนทุกเดือนตลอดไป ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการยึดขยายหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภรรยาออกไปหลังการสมรสสิ้นสุดลง อันเป็นการช่วยเหลือจุนเจือกัน ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมใช้บังคับได้ และในมาตรา 1526 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติ มาตรา 1598/39 มาตรา 1598/40 และมาตรา 1598/41 เกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูมาใช้บังคับเกี่ยวกับค่าเลี้ยงชีพโดยอนุโลม ซึ่งเมื่ออนุโลมตามมาตรา 1598/39 วรรคหนึ่ง แล้วจะได้ความว่า เมื่อผู้มีส่วนได้เสียแสดงว่าพฤติการณ์รายได้หรือฐานะของคู่กรณีได้เปลี่ยนแปลงไป ศาลจะสั่งแก้ไขในเรื่องค่าเลี้ยงชีพโดยให้เพิกถอน ลดเพิ่มหรือกลับให้ค่าเลี้ยงชีพอีกก็ได้ ดังนั้นจำเลยซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อแสดงว่าพฤติการณ์รายได้หรือฐานะของโจทก์จำเลยเปลี่ยนแปลงไปจึงขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ได้ แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138วรรคสอง บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาตามข้อประนีประนอมยอมความก็ตาม แต่คดีนี้เป็นกรณีที่จำเลยใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ตามมาตรา 1598/39 วรรคหนึ่ง และมิได้เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาตามข้อประนีประนอมยอมความ คำร้องของจำเลยจึงมิได้อยู่ในบังคับที่จะต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 138 วรรคสอง โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์อัตราร้อยละ 35 ของเงินเดือนจำเลยซึ่งเป็นความเหมาะสมในช่วงเวลาดังกล่าว และจำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์นับแต่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตลอดมา แต่เมื่อพฤติการณ์รายได้หรือฐานะของโจทก์และจำเลยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยปัจจุบันจำเลยกลับอยู่ในสภาพที่มีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าโจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งแก้ไขในเรื่องค่าเลี้ยงชีพ โดยให้จำเลยงดจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลย โดยโจทก์จำเลยยินยอมหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์จำนวน 35 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนจำเลยตลอดไปทุกเดือน
จำเลยยื่นคำร้องว่า เนื่องจากจำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2524 จนถึงปัจจุบัน ปรากฎว่าฐานะความเป็นอยู่ของโจทก์ได้เปลี่ยนแปลงไป ส่วนจำเลยมีฐานะยากจนลง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยงดชำระเงินค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ข้อตกลงจ่ายค่าเลี้ยงชีพเป็นข้อตกลงให้ชำระแก่โจทก์ตลอดไปจนกว่าโจทก์หรือจำเลยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถึงแก่ความตายจำเลยไม่มีสิทธิขอให้ศาลงดจ่ายค่าเลี้ยงชีพ เพราะการชำระค่าเลี้ยงชีพของจำเลยในคดีนี้มิใช่ชำระโดยศาลมีคำพิพากษา โจทก์มิได้มีฐานะดีขึ้น แต่กลับยากจนลงส่วนจำเลยมีฐานที่ดีขึ้น ไม่ได้ยากจนลงตามที่อ้างขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมเป็นให้จำเลยงดจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่าข้อตกลงในการจ่ายค่าเลี้ยงชีพที่เกิดจากสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยจะบังคับให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 ได้หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 1526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นเพียงบทบัญญัติที่กำหนดให้ศาลสามารถกำหนดค่าเลี้ยงชีพให้แก่คู่หย่าในคดีหย่าได้ในกรณีหนึ่งเท่านั้น เมื่อปรากฎว่าการหย่านั้นเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และการหย่านั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง มิได้เป็นบทบัญญัติที่บังคับว่าจะเรียกค่าเลี้ยงชีพได้แต่เฉพาะมีคดีฟ้องหย่าเท่านั้น ดังนั้นเมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีหย่าว่าจำเลยยอมจดทะเบียนหย่าให้โจทก์และยอมชำระค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์อัตราร้อยละ 35 ของเงินเดือนทุกเดือนตลอดไป ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการยืดขยายหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภรรยาออกไปหลังการสมรสสิ้นสุดลง อันเป็นการช่วยเหลือจุนเจือกันไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมใช้บังคับได้ และในบทบัญญัติ มาตรา 1526 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติมาตรา 1598/39 มาตรา 1598/40 และมาตรา 1598/41 เกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูมาใช้บังคับเกี่ยวกับค่าเลี้ยงชีพโดยอนุโลม ซึ่งเมื่ออนุโลมตามมาตรา 1598/39 วรรคหนึ่ง แล้วจะได้ความว่า เมื่อผู้มีส่วนได้เสียแสดงว่าพฤติการณ์รายได้หรือฐานะของคู่กรณีได้เปลี่ยนแปลงไป ศาลจะสั่งแก้ไขในเรื่องค่าเลี้ยงชีพโดยให้เพิกถอน ลด เพิ่มหรือกลับให้ค่าเลี้ยงชีพอีกก็ได้ ดังนั้น จำเลยซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อแสดงว่าพฤติการณ์รายได้หรือฐานะของโจทก์จำเลยเปลี่ยนแปลงไปจึงขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ได้ที่โจทก์ฎีกาว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138วรรคสอง บัญญัติห้ามอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอม จำเลยจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมได้ตามกฎหมายนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาตามข้อประนีประนอมยอมความ แต่คดีนี้เป็นกรณีที่จำเลยใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ตามมาตรา 1598/39 วรรคหนึ่ง และมิได้เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาตามข้อประนีประนอมยอมความคำร้องของจำเลยจึงมิได้อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138วรรคสอง
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า มีเหตุผลสมควรที่จะเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์หรือไม่ตามข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฎว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2524ขณะนั้นโจทก์จำเลยมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อนางสาวธิติพร แสนคำเกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2514 บุตรอยู่ในปกครองของโจทก์โจทก์มีที่ดินที่จังหวัดปทุมธานี 1 แปลง เนื้อที่ 4 ไร่ไม่ได้ประกอบอาชีพใด ๆ และต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร ส่วนจำเลยมีอาชีพรับราชการ จะเห็นได้ว่าการที่จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์อัตราร้อยละ 35 ของเงินเดือนจำเลยเป็นความเหมาะสมในช่วงเวลาดังกล่าว และจำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์นับแต่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันจนถึงเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยงดจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เป็นเวลา 14 ปี 6 เดือน ปัจจุบันที่ดินของโจทก์ที่จังหวัดปทุมธานีเนื้อที่ 4 ไร่ ยังคงอยู่และย่อมมีราคาสูงกว่าเมื่อ 14 ปีที่แล้วมาก ที่โจทก์อ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์มาก่อนหย่าขาดจากจำเลย จำเลยไม่อาจยกเป็นข้ออ้างว่าโจทก์มีฐานะดีเพราะที่ดินแปลงดังกล่าวเห็นว่า กฎหมายมิได้กำหนดให้ดูความเปลี่ยนแปลงของฐานะเฉพาะทรัพย์ที่มีขึ้นภายหลังการหย่า จึงต้องคำนึงถึงทรัพย์สินทุกชนิดที่คู่ความทั้งสองฝ่ายมีอยู่ขณะที่พิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลง และโจทก์ยังมีที่ดินเนื้อที่80 ตารางวา พร้อมบ้านสองชั้น 1 หลัง ตั้งอยู่ที่แขวงลาดพร้าวเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์อ้างว่าที่ดินและบ้านดังกล่าวขณะโจทก์เบิกความเมื่อปี 2537 มีราคา 700,000 บาทนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะโจทก์นำที่ดินและบ้านดังกล่าวไปจำนองค้ำประกันหนี้ของโจทก์ต่อธนาคารเมื่อปี 2532 ในวงเงิน 600,000 บาท ซึ่งโดยทั่วไปเป็นไปไม่ได้ที่ธนาคารจะรับจำนองไว้ในราคาที่สูงเกือบเท่าราคาที่แท้จริงของทรัพย์นั้น ครั้นเวลาล่วงเลยมาอีกถึง 5 ปี ทรัพย์ดังกล่าวย่อมมีราคาสูงขึ้นอีกน่าเชื่อว่ามีราคาสูงกว่า 700,000 บาทมาก ส่วนจำเลยในขณะที่เบิกความปี 2537 มีรายได้แต่เฉพาะเงินเดือนเพียงอย่างเดียวจำนวนเดือนละ 15,380 บาท มีภริยาที่จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู 1 คน และมีบุตรอายุเพียง 13 ปีที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาอีก 1 คน นอกจากนี้ยังเป็นหนี้สหกรณ์ กรมการปกครอง 120,000 บาท โดยไม่มีทรัพย์สินใด ๆ เป็นของตนเอง หากจำเลยต้องจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์อัตราร้อยละ 35 ของเงินเดือน เป็นเงินเดือนละ 5,383บาท จำเลยจะเหลือเงินที่ต้องใช้จ่ายในครอบครัวเดือนละไม่ถึง10,000 บาทและเหลือเวลารับราชการอีกเพียง 4 ปี เห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบฐานะของโจทก์กับจำเลย แม้จะฟังข้อเท็จจริงว่า เรือประมงทั้งสองลำที่จำเลยยกขึ้นกล่าวอ้างว่าเป็นของโจทก์นั้น มีลำหนึ่งมิใช่ของโจทก์ และบุตรของโจทก์อยู่ในระหว่างศึกษาต่อชั้นปริญญาโทในต่างประเทศก็ตาม ยังเห็นได้ว่าพฤติการณ์รายได้หรือฐานะของโจทก์และจำเลยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยปัจจุบันจำเลยกลับอยู่ในสภาพที่มีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าโจทก์ จึงถึงเวลาสมควรที่จะสั่งแก้ไขในเรื่องค่าเลี้ยงชีพ โดยให้จำเลยงดจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์
พิพากษายืน

Share