แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแรกโจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิรวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นสินสมรสแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจะนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสินสมรสไปขายให้แก่ผู้มีชื่อในราคา 2,000,000 บาท ภายใน 1 เดือนแล้วนำเงินมาแบ่งกัน โดยถือว่าเป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่าย ศาลพิพากษาตามยอมต่อมาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ โดยอ้างว่าผู้ซื้อเปลี่ยนใจไม่ซื้อจึงมีการทำข้อตกลงเพื่อจัดการสินสมรสกันใหม่ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเพื่อจัดการสินสมรสใหม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามข้อตกลงใหม่เป็นคดีที่สอง คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความคดีแรกเป็นสัญญามีเงื่อนไขไม่สามารถสำเร็จผล อันมีผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความตกไปไม่มีผลบังคับส่วนข้อตกลงจัดการสินสมรสกันใหม่เป็นสัญญาระหว่างสมรส เมื่อคู่สมรสบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสจึงเป็นอันสิ้นผล โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้างอันเป็นสินสมรสเดียวกับที่ฟ้องคดีแรก ดังนี้ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาตามยอมเช่นนี้ คำพิพากษาตามยอมในคดีแรกเป็นอันตกไปไม่มีผลบังคับเช่นเดียวกับสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าคดีแรกได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีนี้ ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรกอันจะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท หากไม่ไปให้ถือเอา คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยแถลงยอมรับข้อเท็จจริงว่า ที่ดินตามฟ้องโฉนดเลขที่ 21344 และ 21345 ตั้งอยู่ที่ ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลย และจำเลยขอสละประเด็นข้อต่อสู้ตามคำให้การทั้งหมดแต่ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดง ที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้นหรือไม่โจทก์จำเลยไม่สืบพยาน แต่ขอให้นำสำเนาคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 และคดีหมายเลขแดงที่ 293/2540 ของศาลชั้นต้นมาประกอบการวินิจฉัยคดีนี้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 21344 และ 21345 ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมสิ่งปลูกสร้างหากไม่ไปให้ถือเอา คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า แม้คดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เพิ่มชื่อโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังเช่นคดีนี้ แล้วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้วก็ตาม แต่ต่อมาภายหลังโจทก์ได้ฟ้องจำเลย ตามคดีหมายเลขแดงที่ 293/2540 ของศาลชั้นต้นและคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไข เมื่อโจทก์จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ย่อมแสดงว่าเงื่อนไขตามสัญญาไม่สำเร็จผล สัญญาประนีประนอมยอมความย่อมตกไป ไม่มีผลบังคับ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของ คำพิพากษาตามยอม เช่นนี้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันตกไปไม่มีผลบังคับเช่นกัน ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่า คดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้นนั้นศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัย เหตุอย่างเดียวกับคดีนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนโจทก์.