แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่า เรือนพิพาทตกเป็นส่วนควบของที่ดินหรือไม่นั้นมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อไม่เป็นประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 73,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเรือนชั้นเดียวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1392 ตำบลบ้านเบิกอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า เรือนพิพาทเป็นของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ปล่อยเรือนพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อเรือนพิพาทจากนายสถิตย์ แล้วรื้อไปปลูกในที่ดินของจำเลยผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของเรือนพิพาท ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่า เรือนพิพาทตกเป็นส่วนควบของที่ดินจำเลยนั้น ไม่เป็นประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ และที่โจทก์อ้างตามฎีกาว่า พยานของผู้ร้องเบิกความแตกต่างกัน เป็นต้นว่านายสถิตย์ เบิกความว่า บ้านของนายสถิตย์ ที่ผู้ร้องซื้อนั้นหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ตัวบ้านอยู่ห่างถนนประมาณ 15 เมตร หน้าบ้านมีรั้วไม้ไผ่เป็นแนว แต่นายสวอง กลับเบิกความว่า บ้านของนายสถิตย์ ที่ขายให้ผู้ร้องนั้น ไม่มีรั้วเป็นบ้านโล่ง อยู่ในหมู่บ้านมีถนนเข้าถึงบ้าน คำเบิกความของพยานผู้ร้องไม่อาจจะรับฟังไม่ได้นั้นเห็นว่าที่พยานผู้ร้องเบิกความแตกต่างกันไปบ้านในข้อเล็ก ๆ น้อย ๆเหล่านี้ไม่เป็นข้อสาระสำคัญแต่อย่างใด ปัญหาคงอยู่ที่ว่าผู้ร้องซื้อบ้านของนายสถิตย์ หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ปล่อยเรือนพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.