คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2676/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีที่คู่ความอุทธรณ์และฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
โจทก์เป็นทรัสตีผู้หนึ่ง ย่อมมีอำนาจจัดการรวมทั้งการ ฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินอันเป็นทรัสต์ได้ตามหนังสือก่อตั้งทรัสต์ซึ่งทรัสต์ดังกล่าวได้ก่อตั้งและ จดทะเบียนต่อสถานทูตอังกฤษเมื่อ 80 ปีมาแล้ว
จำเลยเช่าตึกแถวเพียงเดือนละ 100 บาท แต่จ่ายเงิน ล่วงหน้าให้ทรัสตีไปอีก 55,000 บาทจึงเป็นการ จ่ายเงินกินเปล่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่า โดยไม่ได้ใช้ ซ่อมแซมตึกที่เช่าแต่อย่างใดสัญญาเช่านี้จึงหามีลักษณะ เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่
จำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นพร้อมกัน 2 ฉบับ ลงวันที่ในสัญญา และระยะเวลาที่เช่าติดต่อกันรวมได้กว่า 3 ปี เท่ากับ ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ติดต่อกันเกิน 3 ปีถ้า ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อม ฟ้องร้องบังคับกันได้เพียง 3 ปีและการฟ้องร้องให้ บังคับคดีดังกล่าวหมายความรวมถึงการที่ยกขึ้นกล่าวอ้างต่อสู้ ให้บังคับคดีไปตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1985/2527)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2443 นาย อี.เอช.โชอังกูเลีย ได้ทำหนังสือโอนที่ดินให้แก่ทรัสตี เพื่อยึดถือไว้เป็นทรัสต์ นำผลประโยชน์รายได้มาใช้จ่ายบำรุงรักษาสุเหร่า โดยให้ทรัพย์อันเป็นทรัสต์อยู่ในอำนาจจัดการดูแลของทรัสตีโจทก์เป็นทรัสตี ได้จดทะเบียนเป็นทรัสตีเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวบนที่ดินดังกล่าว จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวกับนางสาวสุวดี 2 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่3 สิงหาคม 2521 มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2521 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์2524 ฉบับที่สอง ลงวันที่ 1 มีนาคม 2524 มีกำหนด 2 ปี 10 เดือน นับแต่วันที่1 มีนาคม 2524 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2526 อัตราค่าเช่าเดือนละ 100 บาทเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าฉบับแรกแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไปจึงบอกเลิกการเช่าแก่จำเลย แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้จำเลยและบริวาร กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากนางสาวสุวดีทรัสตีของทรัสตีผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดและเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้คู่ความอุทธรณ์และฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งมีอยู่ว่า ตึกแถวพิพาทเป็นทรัสต์ซึ่งตั้งขึ้นโดยนายอี.เอช.ชองกูเลีย เมื่อประมาณ 80 ปีมาแล้ว จดทะเบียนต่อสถานทูตอังกฤษ มีทรัสตี 4 คนเป็นผู้ดูแล และโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นทรัสตีตั้งแต่พ.ศ. 2509 จนถึงปัจจุบันเมื่อเดือนสิงหาคม 2521 จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับนางสาวสุวดีในขณะที่ยังเป็นทรัสตีอยู่รวม 2 ฉบับพร้อมกัน ฉบับแรกกำหนดเวลาเช่า 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2521 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2524 ฉบับที่ 2กำหนดเวลาเช่า 2 ปี 10 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2524 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2526อัตราค่าเช่าเดือนละ 100 บาท พร้อมกับจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าแก่นางสาวสุวดีเป็นเงิน55,000 บาท หากไม่มีค่าเช่าล่วงหน้าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 3,000 บาท ก่อนสัญญาเช่าฉบับแรกจะครบกำหนดโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย จำเลยได้รับคำบอกกล่าวก็เพิกเฉย
ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น เห็นว่าโจทก์เป็นทรัสตีผู้หนึ่ง ย่อมมีอำนาจจัดการซึ่งรวมทั้งการฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินอันเป็นทรัสต์ได้ตามหนังสือก่อตั้งทรัสต์เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่าตึกแถวที่จำเลยเช่าเป็นทรัสต์รายนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับสัญญาเช่าเป็นคดีนี้ได้
ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาเช่าตามฟ้องเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้น เห็นว่าจำเลยเคยเช่าตึกแถวพิพาทมาก่อนและจะเช่าถูก ๆเพียงเดือนละ 100 บาท แต่จ่ายเงินล่วงหน้าให้ทรัสตีไปอีก 55,000 บาท จึงเป็นการจ่ายเงินกินเปล่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าตึกนั้นนั่นเอง โดยไม่ได้ใช้ซ่อมแซมตึกที่เช่าแต่อย่างใด สัญญาเช่านี้จึงเป็นสัญญาเช่าธรรมดา หามีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่าฉบับลงวันที่ 1 มีนาคม 2524 ใช้บังคับได้นั้นเห็นว่าจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นพร้อมกัน 2 ฉบับ ลงวันที่ในสัญญาและระยะเวลาที่เช่าติดต่อกันรวมได้กว่า 3 ปี เท่ากับทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ติดต่อกันเกิน3 ปี ต้องการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ย่อมฟ้องร้องบังคับกันได้เพียง 3 ปี ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 538 ซึ่งการฟ้องร้องให้บังคับคดีดังกล่าวหมายความรวมถึงการที่ยกขึ้นกล่าวอ้างต่อสู้ให้บังคับคดีไปตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย เพราะการบังคับคดีย่อมทำได้ด้วยกันทั้งสองฝ่ายตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1985/2527 ระหว่าง นายสุวัฒน์ ชองกูเลีย โจทก์ นายศักดา กุลศิโรรัตน์ จำเลย สัญญาเช่าฉบับลงวันที่1 มีนาคม 2524 ซึ่งเป็นฉบับที่ 2 จึงใช้บังคับกันไม่ได้ เมื่อจำเลยเช่าตึกแถวพิพาทมาครบกำหนดตามสัญญาฉบับแรกแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าอีกต่อไปโดยบอกเลิกการเช่าและจำเลยรับทราบแล้วตามข้อเท็จจริงที่ฟังยุติข้างต้น จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ในตึกแถวพิพาทอีกต่อไป
พิพากษายืน

Share