แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ส. มารดาผู้เสียหายได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสองพาผู้เสียหายไปเดิน เที่ยวเท่านั้น เมื่อผู้เสียหายจะกลับบ้านจำเลยทั้งสองไม่ยอมให้กลับ แต่พาผู้เสียหายไปยังบ้านที่เกิดเหตุ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองทำไปโดยลำพังจะถือว่า ส. รู้เห็นยินยอมไม่ได้จำเลยทั้งสองมีเจตนาพาผู้เสียหายไปบ้านเกิดเหตุเพื่อให้ พ.ร่วมประเวณี การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม จำเลยทั้งสองได้ช่วย กันจับมือผู้เสียหายไว้ให้ พ. ข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยทั้งสองจึงเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 276, 278, 318 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 7 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 4,7
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก จำคุกคนละ 5 ปี และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม จำคุกคนละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 9 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์นางสาวสาลิดา ชิตจันทร์ ผู้เสียหายนางสุคนธ์ ชิตจันทร์ มารดาและนายถาวร พี่ชายผู้เสียหายเบิกความได้ความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 12 นาฬิกา ขณะที่ผู้เสียหายและนางสุคนธ์อยู่ที่สถานีรถไฟจังหวัดตรังพลจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองชักชวนผู้เสียหายไปเดินเที่ยว นางสุคนธ์ยินยอม ผู้เสียหายกับจำเลยทั้งสองไปเดินเที่ยวบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ลิโด้ เวลาประมาณ17 นาฬิกา ผู้เสียหายจะกลับบ้าน แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมและชวนผู้เสียหายไปบ้านนายพรศักดิ์ที่ซอยมูลนิธิคือบ้านเกิดเหตุ ไปถึงไม่พบนายพรศักดิ์ รออยู่จนเวลาประมาณ 21 นาฬิกา นายพรศักดิ์กลับมา มีการสั่งสุรามาเลี้ยงกัน จนถึงเวลาประมาณ 22 นาฬิกาจำเลยทั้งสองจับแขนผู้เสียหายคนละข้างลากเข้าไปในห้อง แล้วให้นายพรศักดิ์ข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง วันรุ่งขึ้นนายถาวรตามมาพบพากลับบ้าน ส่วนจำเลยทั้งสองกับนายพรศักดิ์หลบหนีไป ความผิดข้อหาข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาตนนั้นผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเปลื้องเสื้อผ้าของผู้เสียหายออกและช่วยกันจับผู้เสียหายให้นายพรศักดิ์ปล้ำจูบและข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ ผู้เสียหายไม่สามารถต่อสู้ได้เนื่องจากจำเลยทั้งสองช่วยกันจับมือของผู้เสียหายไว้ เมื่อนายพรศักดิ์สำเร็จความใคร่แล้วได้ออกจากห้องไป ส่วนจำเลยทั้งสองคุมตัวผู้เสียหายไว้ไม่ให้ออกจากห้องจนถึงเวลา 5 นาฬิกาเห็นว่าพยานโจทก์ทั้ง 3 ปากต่างรู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อน เพราะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ผู้เสียหายอายุ 16 ปี ถ้าไม่เกิดเหตุจริงแล้วคงจะไม่เบิกความให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่ตนเอง หลังเกิดเหตุผู้เสียหายได้เล่าเรื่องให้นางสุคนธ์และนายถาวรฟังทันที แม้จะได้ความตามที่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การว่าผู้เสียหายอยู่ในห้องกับนายพรศักดิ์ 2 คน โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้อยู่ในห้องด้วย โดยให้การว่าจำเลยทั้งสองจะอยู่ที่ไหนไม่ทราบ แต่ผู้เสียหายได้ตอบคำถามอัยการโจทก์ถามติงว่า ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนได้สอบถามผู้เสียหายด้วยว่าขณะที่นายพรศักดิ์ข่มขืนจำเลยทั้งสองอยู่ที่ไหน ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในบริเวณดังกล่าว แต่ไม่ได้ให้การว่าจำเลยทั้งสองช่วยจับผู้เสียหายเพื่อให้นายพรศักดิ์ข่มขืน เหตุที่ไม่ให้การไว้เพราะว่าจำเลยที่ 2 ได้ขู่ไว้ว่า ถ้าหักหลังจำเลยทั้งสองจะฆ่าให้ตาย จึงเชื่อว่าที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยทั้งสองช่วยกันจับมือผู้เสียหายไว้ให้นายพรศักดิ์ข่มขืนเป็นความจริงและที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่ารอยฟกช้ำที่ต้นขาซ้ายด้านนอกของผู้เสียหายถูกนางตุ้ย โละหาบ ภรรยาของนายพรศักดิ์ถีบทำร้ายเอานั้นก็ไม่น่าเชื่อ เพราะนางตุ้ยเบิกความว่า พบผู้เสียหายและนายพรศักดิ์วันที่ 29 ตุลาคม 2531 ตอนเช้าจึงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่านายถาวรมาพบผู้เสียหายและพากลับจากบ้านเกิดเหตุวันที่ 25 ตุลาคม 2531 เวลาประมาณ7 นาฬิกา จึงเป็นไปไม่ได้ดังที่นางตุ้ยเบิกความ ส่วนที่นายแพทย์สุนัน คงชู ผู้ตรวจผู้เสียหายตรวจพบรอยฟกช้ำที่ต้นขาด้านซ้ายด้านนอก 1 แห่ง จากการตรวจภายในช่องคลอดไม่พบน้ำอสุจิ หรือคราบอสุจิแต่อย่างใด และพบรอยฉีดขาดเก่าของเยื่อพรหมจรรย์แล้วลงความเห็นว่า รอยฉีกขาดของเยื่อพรหมจรรย์ดังกล่าวนี้จะต้องเกิดก่อนหน้าการตรวจพิสูจน์ประมาณ 6 สัปดาห์นั้น เห็นว่า ตามฎีกาโจทก์อ้างว่า นายพรศักดิ์ แซ่เจีย จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่1347/2532 หมายเลขแดงที่ 1369/2532 ของศาลจังหวัดตรังได้ยอมรับสารภาพว่าได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหายจริง ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยมิได้แก้ฎีกาในข้อนี้ประการใดฟังได้ว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราจริง และจำเลยทั้งสองได้ร่วมเป็นตัวการกระทำความผิดดดังกล่าวด้วย สำหรับข้อหาพรากผู้เยาว์นั้นได้ความจากนางสุคนธ์ว่าตอนแรกได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสองพาไปเดินเที่ยวเท่านั้น เมื่อผู้เสียหายจะกลับบ้านจำเลยทั้งสองไม่ยอมให้กลับ แต่พาผู้เสียหายไปยังบ้านที่เกิดเหตุ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองทำไปตามลำพังจะถือว่านางสุคนธ์รู้เห็นยินยอมไม่ได้ จำเลยทั้งสองมีเจตนาพาผู้เสียหายไปบ้านเกินเหตุเพื่อให้นายพรศักดิ์ร่วมประเวณีการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 วรรคสาม…”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากาษาศาลชั้นต้น.