คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4670/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลมีหน้าที่ยกตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดี เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลชอบที่จะยกบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องลดเบี้ยปรับมาใช้ปรับแก่คดีโดยลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ อันเป็นอำนาจของศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 มิใช่เรื่องยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างและจำเลยได้โต้แย้งไว้ในคำให้การแล้วที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์น้อยกว่าที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลไม่ได้กำหนดเรื่องเบี้ยปรับเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้โดยตรง ก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกัน การลดเบี้ยปรับจึงชอบด้วยกฎหมาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2528 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชำระหนี้ให้โจทก์จำนวน 20,000 บาท โดยชำระให้10,000 บาท ในวันทำสัญญาจำนวนเงินที่เหลือจะชำระในวันที่7 มีนาคม 2529 โดยจะสั่งจ่ายเช็คให้ภายใน 5 วัน นับแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้ ถ้าจำเลยไม่สั่งจ่ายเช็คให้ภายในกำหนดจำเลยยอมให้โจทก์ฟ้องบังคับชำระเงินได้จำนวน 20,000 บาท เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยไม่สั่งจ่ายเช็คให้โจทก์ โจทก์ได้ทวงถามจากจำเลยแล้วจำเลยเพิกถอน จำเลยจะต้องชำระเงินจำนวน 20,000 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันรับหนังสือบอกกล่าวถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงิน 20,500 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน20,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน20,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้องจริงแต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2529 จำเลยยอมจ่ายเช็คให้โจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมคืนหนังสือรับสภาพหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ จำเลยจึงไม่สั่งจ่ายเช็คให้โจทก์ จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียง 10,000 บาท จำนวนเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้เป็นการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 10,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2528ไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่า ข้อกฎหมายที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้เองจะต้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และการที่จำเลยไม่ได้ยกปัญหาเรื่องเบี้ยปรับขึ้นเป็นข้อต่อสู้ จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องเบี้ยปรับสูงเกินส่วนหรือไม่ การที่ศาลหยิบยกกฎหมายที่ให้ศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงได้ซึ่งไม่ใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และการวินิจฉัยในเรื่องเบี้ยปรับโดยไม่มีประเด็นข้อพิพาท เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ศาลมีหน้าที่ในการยกตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดี ที่ศาลชั้นต้นยกบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการลดเบี้ยปรับมาใช้ปรับแก่คดีเป็นอำนาจของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 เมื่อเห็นว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ มิใช่เรื่องยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด และแม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้กำหนดเบี้ยปรับเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ในการพิจารณาคดีโดยตรงก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกัน เพราะจำเลยโต้แย้งไว้ในคำให้การว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียงจำนวน 10,000 บาท ดังนั้นที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินจำนวน 20,000 บาท จึงเป็นการฟ้องรวมเบี้ยปรับเข้าไว้ด้วยศาลลดเบี้ยปรับลงมาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share