แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพฤติการณ์ที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปส่งผู้เสียหายกลับบ้านหลังจากที่จำเลยร่วมประเวณีกับผู้เสียหายแล้วระหว่างทางพบ ต. กับพวก จำเลยจึงให้ ต. ไปส่งผู้เสียหายแทนโดยอ้างว่ามีธุระ แต่ ต. กลับพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง โดยจำเลยไปอยู่ในที่เกิดเหตุในขณะที่ผู้เสียหายถูก ต. กับพวกข่มขืนกระทำชำเราด้วยในลักษณะที่พร้อมจะช่วยเหลือได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเชื่อว่าเป็นแผนการที่จำเลยกับพวกร่วมกันคบคิดพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราในที่เกิดเหตุ แม้จำเลยจะไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในขณะนั้นด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 276 และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1722/2546 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุก 15 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี บวกโทษจำคุก 2 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1722/2546 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา เข้ากับโทษในคดีนี้รวมจำคุก 10 ปี 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ประกอบมาตรา 86 ให้จำคุก 10 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน บวกโทษจำคุก 2 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1722/2546 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา เข้ากับโทษของจำเลยแล้ว รวมเป็นจำคุกจำเลย 6 ปี 10 เดือน
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2547 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา นายนัฐพงษ์หรือตั้มขับรถจักรยานยนต์ไปรับนางสาวกรรณิกา ผู้เสียหายที่บ้าน ต่อมาจำเลยได้มาพบผู้เสียหายและนายนัฐพงษ์ แล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีที่บริเวณบ่อทราย หลังจากนั้นจึงขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายกลับ ระหว่างทางพบกับนายตั๊ก จำเลยให้นายตั๊กขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปส่งบ้าน แต่นายตั๊กกลับขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปที่บริเวณเพิงพักใกล้บ่อทรายที่จำเลยพาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีในครั้งแรก หลังจากนั้นมีคนร้ายหลายคนร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยมีว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การร่วมประเวณีระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายที่จำเลยพาผู้เสียหายไปที่บ่อทรายในครั้งแรกจะยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่ ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย แต่ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าในขณะที่นายตั๊กกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอยู่ที่เพิงพักที่เกิดเหตุนั้น จำเลยยืนอยู่ ไม่ได้ร่วมข่มขืนด้วย แต่จำเลยไม่ได้ช่วยเหลือและไม่ได้ร้องห้ามปราม แม้ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากดวงจันทร์มีความสว่างไม่มากนัก แต่ผู้เสียหายและจำเลยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันถึงขนาดมีการร่วมประเวณีกันในวันเกิดเหตุถึง 2 ครั้ง ได้แก่ ในตอนกลางวันของวันเกิดเหตุครั้งหนึ่ง และในช่วงก่อนเกิดเหตุไม่นานนักอีกครั้งหนึ่ง ผู้เสียหายให้การถึงจำเลยว่าอยู่ในที่เกิดเหตุในขณะถูกนายตั๊กกับพวกข่มขืนด้วยในวันรุ่งขึ้นทันทีหลังเกิดเหตุ โดยผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยจึงไม่มีเหตุที่จะปรักปรำจำเลยโดยไม่เป็นความจริง เชื่อว่าผู้เสียหายเห็นและจำจำเลยได้แน่ ดังนั้น ตามพฤติการณ์ที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปส่งผู้เสียหายกลับบ้านหลังจากที่จำเลยร่วมประเวณีกับผู้เสียหายแล้วระหว่างทางพบกับนายตั๊กกับพวก จำเลยจึงให้นายตั๊กไปส่งผู้เสียหายแทนโดยอ้างว่ามีธุระจะต้องทำในตอนเช้า แต่นายตั๊กกลับพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง โดยจำเลยไปอยู่ในที่เกิดเหตุในขณะที่ผู้เสียหายถูกนายตั๊กกับพวกข่มขืนกระทำชำเราด้วยในลักษณะที่พร้อมจะช่วยเหลือได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเชื่อว่าเป็นแผนการที่จำเลยกับพวกร่วมกันคบคิดพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราในที่เกิดเหตุ แม้จำเลยจะไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในขณะนั้นด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนให้นายตั๊กกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น