แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยถึงแก่กรรมขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้าเป็นคู่ความแทนที่ เมื่อ บ. ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนให้ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยจริงหรือไม่แล้วส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 6 เพื่อพิจารณาสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้ว บ้าน สิ่งปลูกสร้างตลอดจนขนย้ายวัสดุสิ่งของต่าง ๆ ของจำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ตั้งอยู่หมู่ที่ 11 ตำบลปากช่อง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ 142 ไร่ 96 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 21 เมษายน 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่ มีเนื้อที่ 142 ไร่ 96 ตารางวา มีอาณาเขตทิศเหนือจรดที่ดินนายเชย บุญประเสริฐ และนายประยูร น้อยชู ทิศใต้จรดทางสาธารณะทิศตะวันออกจรดคลองห้วยหว้า และที่ดินนายสมบูรณ์ วงศ์ศรีรักษ์ ทิศตะวันตกจรดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2209 สายน้ำดุก – บ้านหวาย จำเลยถึงแก่กรรมขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจรณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้าเป็นคู่ความแทนที่ เมื่อนางบุญมี ก้อนดี ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนให้ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยจริงหรือไม่ แล้วส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 6 เพื่อพิจารณาสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จึงไม่ชอบ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้น แต่เนื่องจากคดีนี้ได้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว จึงเห็นสมควรสั่งคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 สั่ง ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องเป็นภริยาจำลยจึงเป็นทายาทจำเลยและผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยย่อมเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะได้ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นางบุญมี ก้อนดี เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะ
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ นายสมภาร พั้วช่วย นายเตย เกษามูล และนายทวี เชื้อสกุลวนิช เบิกความเป็นพยานว่า เดิมที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรมไม่มีเอกสารสิทธิ มีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ นายสาตานายประวัติ พั้วช่วย สามีโจทก์ เป็นผู้จับจอง ต่อมายกให้นายประวัติในปี 2516 นายประวัติจ้างนายทวีใช้รถแทรกเตอร์เกรดพื้นที่เพื่อทำประโยชน์และแบ่งที่ดินทางด้านทิศใต้ให้นายทวีไป 90 ไร่ ระยะแรกใช้เป็นที่ปลูกมันสำปะหลัง ถั่วเขียว ขุดสระน้ำไว้ 4 สระ ต่อมาใช้เป็นที่เลี้ยงวัวโดยนายจรัส พั้วช่วย น้องชายนายประวัติใช้เป็นที่เลี้ยงวัวจ้างนายพรมมา พั้วทัด เป็นผู้ดูแล นายประวัติก็เลี้ยงวัวด้วยประมาณ 100 ตัว จ้างนายเตย เกศามูล เป็นผู้ดูแล ปลูกกระต๊อบอยู่ในที่ดิน ใช้ลวดหนามกั้นเป็นคอกวัวและมีการล้อมรั้วปักเสาไม้ขึงลวดหนามรอบบริเวณที่ดิน นายพรมมาเป็นผู้รับจ้าง นายจรัสเลี้ยงวัวอยู่ประมาณ 3 ปี ก็เลิกไป ปี 2535 นายประวัติได้รับพระราชทานปริญญาบัตรกิตติมศักดิ์จากวิทยาลัยครูเพชรบูรณ์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สายเกษตรศาสตร์ ได้ถ่ายรูปคอกวัวและจัดทำเอกสารไว้ตามภาพถ่ายและเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ต่อมาปี 2538 นายประวัติถึงแก่กรรม โจทก์ขายวัวไปแล้วหยุดเลี้ยงวัว แต่ยังคงจ้างนายเตยดูแลที่ดินอยู่ ส่วนโจทก์ทำธุรกิจโรงแรมโดยระยะหลังมีคนขอเช่าเข้าไปปลูกยาสูบหลายราย ต่อมาเดือนสิงหาคม 2540 ทางราชการจะออกโฉนดที่ดินบริเวณที่ดินพิพาท โจทก์แจ้งขอนำรังวัดจำเลยเข้ามาคัดค้านและต่อมาจำเลยเข้ามาปลูกไม้ยืนต้นในระหว่างแนวต้นยาสูบ ปลูกกระท่อมและปลูกบ้านในที่ดินพิพาท โจทก์จึงแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาบุกรุก และโจทก์มีนายพรมมา นายประสิทธิ์ จงธรรม์ และร้อยตำรวจเอกบุญเสริม สิทธิถาวร เบิกความสนับสนุน จำเลยมีตัวจำเลย นางบุญมี ก้อนดี นางบัวรด มารอด ซึ่งเป็นภริยาและบุตรจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายบัง ขันยศ บิดานางบุญมี มีเนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ นายบังเคยขออนุญาตต่อทางราชการทำคูกั้นน้ำ ต่อมานายบังถึงแก่กรรม ที่ดินตกได้แก่นางบุญมีและจำเลย ปี 2514 จำเลยซื้อที่ดินจากนายหำ ศรีสุวรรณ์ อีกประมาณ 200 ไร่ ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน จำเลยทำประโยชน์ในที่ดินใช้เป็นที่เลี้ยงวัว ปลูกต้นมะเยา และให้คนเช่าปลูกยาสูบ บางคนเช่าปลูกพืชสวนครัว จำเลยครอบครองล้อมรั้วลวดหนาม ในระยะแรกเมื่อจำเลยอายุประมาณ 22 ปี ปลูกกระต๊อบไว้ 1 หลัง ต่อมาปี 2540 ให้บุตรชายเข้าไปปลูกบ้าน 1 หลัง และจำเลยมีนายเชย บุญประเสริฐ นายเสนีย์ น้อยชู นายสมบูรณ์ วงศ์ศรีรักษ์ นายจัน บัวโฮม นายอนุวัต คำชา และนายบุญส่ง เบ้าสารี เบิกความสนับสนุน เห็นว่า พยานโจทก์ทุกปากเบิกความเชื่อมโยงสอดคล้องรับกันเป็นขั้นเป็นตอน นายทวีเป็นเจ้าของรถแทรกเตอร์ เป็นผู้นำรถเข้าไปไถเกรดที่ดินพิพาท ขณะเบิกความอายุ 62 ปี แสดงถึงว่าเป็นคนรุ่นเก่าที่รู้เห็นความเป็นมาของที่ดิน ในสมัยเดิมที่ดินพิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่มีราคาค่างวดเช่นปัจจุบัน นายทวีเกรดที่ดินทั้งหมดประมาณ 300 ไร่ ได้ค่าตอบแทนจากนายประวัติเป็นส่วนแบ่งที่ดินไปประมาณ 90 ไร่ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัย ภาพถ่ายหมาย จ.2 เป็นภาพถ่ายขณะนายประวัติยังมีชีวิตอยู่ ปรากฏคอกวัว และในหนังสือเอกสารประกอบการพิจารณาให้ปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่นายประวัติ เอกสารหมาย จ.3 หน้า 49 และ 50 ก็ปรากฏภาพถ่ายคอกวัวของนายประวัติเช่นกัน นายสมบูรณ์พยานจำเลยก็เบิกความรับข้อเท็จจริงว่า นายประวัติใช้รถแทรกเตอร์เกรดที่ดินพิพาทเมื่อปี 2515 หลังจากนั้นก็เกิดสระน้ำในที่ดินขึ้น 3 สระ และมีการล้อมรั้วรอบบริเวณที่ดินพิพาท มีการสร้างคอกวัว 2 คอก นายเตยเฝ้าดูแลอยู่ 1 คอก โดยปลูกกระต๊อบอยู่ในที่ดินพิพาทและเลิกเลี้ยงวัวไปเมื่อนายประวัติถึงแก่กรรม ซึ่งล้วนสอดคล้องกับพยานโจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่า ภาพถ่ายหมาย จ.2 เป็นภาพถ่ายที่โจทก์ไปถ่ายมาจากที่ใดก็ได้ไม่ใช่ภาพถ่ายคอกวัวในที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบพยานก่อนเสนอภาพถ่ายหมาย จ.2 เป็นพยาน จำเลยมีโอกาสซักค้านและนำสืบพยานหักล้างว่าคอกวัวดังกล่าวไม่ใช่คอกวัวของนายประวัติในที่ดินพิพาท แต่ก็ไม่ปรากฏคำถามค้านและพยานหลักฐานจำเลยหักล้างภาพถ่ายดังกล่าวได้ ที่จำเลยฎีกาว่า นายบังได้รับอนุญาตให้ทำคูกั้นน้ำในคลองห้วยหว้า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายบังนั้น แม้บางส่วนของที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกจรดคลองห้วยหว้า และนายบังบิดาภริยาจำเลยเคยได้รับอนุญาตให้ทำคูกั้นน้ำในคลองห้วยหว้าตามสำเนาใบอนุญาตเอกสารหมาย ล.12 แต่ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 คลองห้วยหว้าไม่ได้มีแต่เฉพาะที่ติดกับที่ดินพิพาททางด้านทิศตะวันออกเท่านั้น แต่มีแนวคลองยาวต่อไปทั้งทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก ซึ่งตามลักษณะต้องผ่านที่ดินอีกหลายแปลง ที่ดินของนายบังตามสำเนาใบอนุญาตเอกสารหมาย ล.12 อาจอยู่บริเวณอื่นซึ่งติดกับคลองห้วยหว้าก็เป็นได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทบางส่วนจำเลยซื้อมาจากนายหำตามเอกสารหมาย ล.9 นั้น ไม่มีข้อความใดในเอกสารเลยว่าที่ดินที่ซื้อขายคือที่ดินพิพาท สภาพกระต๊อบของจำเลยตามภาพถ่ายหมาย ล.10 ซึ่งจำเลยอ้างว่าปลูกมาตั้งแต่จำเลยอายุประมาณ 22 ปี นั้น เห็นได้ชัดเจนว่ามูลดินที่โคนเสาระเบียงด้านหน้าพื้นระเบียงและบันไดเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ รั้วลวดหนามตามภาพถ่ายหมาย ล.11 เป็นเสาปูนที่มีลักษณะทำขึ้นใหม่เช่นกัน บ้านบุตรจำเลยตามภาพถ่ายหมาย ล.15 ถึง ล.19 ก็ปลูกสร้างเมื่อปี 2540 เมื่อมีกรณีพิพาทกันแล้ว การเข้าไปปลูกต้นไม้ของจำเลยในที่ดินพิพาทปลูกตามแนวห่างระหว่างต้นยาสูบแสดงว่าในที่ดินพิพาทมีการปลูกยาสูบอยู่ก่อนแล้ว จำเลยอ้างว่าผู้ปลูกยาสูบในที่ดินพิพาทเป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยตามสัญญาเช่าในรายงานการสอบสวนเอกสารหมาย ล.8 แต่พนักงานสอบสวนสอบปากคำนายบุญ ทาทอง นายใหม่ แสงแก้ว นายปลัด ไพแก่น และนายชาลี โครมคำ ผู้ทำสัญญาเช่ากับจำเลยให้การว่า ก่อนเข้าไปปลูกยาสูบในที่ดินพิพาทได้ขออนุญาตจากนายเตย ต่อมาจำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินจึงลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญาเช่าซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความให้แก่จำเลยไป แสดงว่านายเตยดูแลที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์อยู่ จำเลยอ้างว่าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมานานตั้งแต่หนุ่มจนแก่อายุ 70 ปีเศษ แต่ไม่มีร่องรอยของสิ่งก่อสร้าง เป็นบ้าน กระต๊อบ รั้วหรือไม้ยืนต้นที่แสดงให้เห็นว่าปลูกสร้างหรือเพาะปลูกไว้แต่เก่าแก่เลย คำเบิกความของนายเชย นายเสนีย์ และนายอนุวัต ที่ว่าเห็นจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่านายเตย นายทวี พยานโจทก์ได้รับผลประโยชน์เป็นที่ดินจากโจทก์ นายสมภารพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเป็นพี่นายประวัติสามีโจทก์ เบิกความเข้าข้างโจทก์ไม่น่าเชื่อถือนั้น เห็นว่า นายเตยเป็นลูกจ้างโจทก์และนายประวัติดูแลที่ดินและเลี้ยงวัวให้แก่นายประวัติได้รับส่วนแบ่งที่ดินไปจากนายประวัติ 19 ไร่ นายทวีเป็นผู้นำรถแทรกเตอร์เกรดที่ดินให้เตียนได้รับค่าจ้างเป็นส่วนแบ่งที่ดินไปจากนายประวัติ 90 ไร่ เป็นเรื่องปรกติธรรมดาของการตอบแทนแรงงานและในขณะเดียวกันก็เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่านายประวัติเป็นผู้จับจองครอบครองที่ดินดังกล่าวจริงจึงได้นำมาแบ่งให้บุคคลทั้งสองได้ นายสมภารแม้เป็นพี่นายประวัติแต่ก็เบิกความโดยสาบานตนแล้วและผ่านการซักค้านของทนายจำเลยแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีพิรุธไม่น่าเชื่อถือตรงส่วนใด เมื่อจำเลยเข้ามาปลูกระต๊อบ ทำรั้วและปลูกต้นไม้ในที่ดินโจทก์ก็เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.5 แสดงถึงว่าโจทก์ครอบครองหวงกันที่ดินพิพาทอยู่ก่อนแล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และนายประวัติครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด ก่อนที่จำเลยจะเข้ามาแย่งการครอบครองเมื่อปี 2540 โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน