คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4645/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาทได้ แต่เมื่อไม่มีข้อกำหนดเวลากันไว้ โจทก์จึงใช้ทางได้ตราบเท่าที่จำเลยยินยอมหากจำเลยไม่ยินยอมโจทก์ก็ไม่มีสิทธิใช้ทาง เพราะสิทธิของโจทก์เกิดจากความยินยอมของจำเลยแม้การที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์สร้างทาง>ได้ทำสัญญากันไว้เป็นหนังสือ แต่ในกรณีบอกเลิกสัญญาเช่นนี้ ไม่มีกฎหมายบังคับไว้ว่าจะต้องบอกเลิกสัญญาเป็นหนังสือจำเลยจะบอกเลิกสัญญาเป็นหนังสือหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นการที่จำเลยนำลวดหนามขึงกั้นทางพิพาทไว้จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยปริยายแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 57452 โจทก์ทั้งสามและจำเลยพร้อมทั้งเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1281 และ 25920 ได้ตกลงทำถนนเชื่อมจากซอยประสพสุขผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ที่ดินของโจทก์ทั้งสาม โดยโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการทำถนนทั้งหมด จำเลยและเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1281 และ 25920 ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดแต่มีสิทธิใช้ถนนร่วมกันต่อมาโจทก์ทั้งสามร่วมกันออกค่าใช้จ่ายในการทำถนนจนเสร็จมีความยาวประมาณ 300 เมตร เสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินงบประมาณ 200,000 บาท โจทก์ทั้งสามและจำเลยได้ใช้ถนนดังกล่าวนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2533 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาประมาณต้นเดือนมกราคม 2538 จำเลยได้นำต้นกล้วยไม้ที่ไม่ใช้แล้วมากองสุมบนถนนที่เป็นที่ดินของตนเป็นกองใหญ่เพื่อมิให้โจทก์ทั้งสามนำรถยนต์ขนผลไม้เข้าออกได้ตามปกติโจทก์ทั้งสามห้ามปรามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ต่อมาวันที่13 มกราคม 2538 จำเลยนำรั้วลวดหนามมากั้นซ้ำอีก ทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นไม่สามารถเดินผ่านเข้าออกได้ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางใด ๆ ซึ่งอยู่บนถนนพิพาทตามที่ดินโฉนดเลขที่ 57452 ตำบลบางช้าง อำเภอสามพรานจังหวัดนครปฐม และห้ามจำเลยรบกวนขัดขวางปิดกั้นและกระทำการใด ๆอันเป็นการขัดขวางรบกวนการใช้ถนนพิพาทนี้ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนกับให้จำเลยชดใช้ค่าขาดรายได้จากการขายผลไม้ให้โจทก์ทั้งสามเดือนละ20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะใช้ถนนพิพาทนี้ได้ตามปกติ
จำเลยให้การว่า เมื่อทำถนนเสร็จแล้วโจทก์ทั้งสามกับบุคคลอื่นไม่ยอมให้ความสะดวกแก่จำเลยในการใช้ทางจนจำเลยต้องไปขอซื้อสิทธิผ่านทางของบุคคลอื่นอีกทางหนึ่ง เสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน183,333 บาท โดยเฉพาะที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 57452 จำเลยต้องทำสะพานข้ามคลองสวนไปผ่านที่ดินของบุคคลอื่นเพื่อออกสู่ทางสาธารณะโดยเช่าที่ดินของบุคคลอื่นเป็นปี ปีละ 5,000 บาทจำเลยจึงไม่ประสงค์ที่จะให้โจทก์ทั้งสามใช้ทางผ่านที่ดินของจำเลยต่อไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่15 สิงหาคม 2533 โจทก์ทั้งสาม จำเลยและนางสุนีย์ สุขสงวนได้ทำสัญญาให้โจทก์ทั้งสามสร้างทางและใช้ทางร่วมกันผ่านที่ดินของจำเลยและนางสุนีย์ได้ โดยโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและจำเลยกับนางสุนีย์จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ต่อมาประมาณต้นเดือนมกราคม 2538 จำเลยได้นำต้นกล้วยไม้ที่ไม่ใช้แล้วมากองขวางทางไม่ให้รถยนต์เข้าออกในช่วงที่ผ่านที่ดินของจำเลยนำลวดหนามมากั้นทำให้โจทก์ทั้งสามกับพวกไม่สามารถใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ตามปกติ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามประการแรกว่า จำเลยต้องยินยอมให้โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทด้วยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสามสร้างทางก็ย่อมเป็นที่เห็นได้โดยปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสามใช้ทางได้ด้วย แต่โจทก์ทั้งสามจะใช้ทางได้นายเท่าใดไม่ปรากฏว่ามีข้อกำหนดกันไว้ โจทก์ทั้งสามจึงใช้ทางได้ตราบเท่าที่จำเลยยินยอม เมื่อจำเลยไม่ยินยอมโจทก์ทั้งสามก็ไม่มีสิทธิใช้ทางเพราะสิทธิของโจทก์ทั้งสามเกิดจากความยินยอมของจำเลยแม้เอกสารหมาย จ.3 ที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์ทั้งสามสร้างทางทำไว้เป็นหนังสือแต่ในกรณีบอกเลิกสัญญาเช่นนี้ ไม่มีกฎหมายบังคับไว้ว่าจะต้องบอกเลิกสัญญาเป็นหนังสือ จำเลยย่อมบอกเลิกเป็นหนังสือหรือไม่ก็ได้ การที่จำเลยนำลวดหนามขึงกั้นไว้จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยปริยาย
พิพากษายืน

Share