คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 627/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำต่อหน้าศาลว่าโจทก์ยอมยกที่ดินให้จำเลยเป็นเจ้าของครอบครองทำกินและเลี้ยงดูโจทก์ ถ้าไม่เลี้ยงดูจำเลยยอมคืนที่ดินให้โจทก์นั้น เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดหนี้โดยมีเงื่อนไขและเป็นสัญญาต่างตอบแทน ฉะนั้น เมื่อจำเลยนำที่พินที่ได้รับยกให้ซึ่งโจทก์ปลูกบ้านอยู่ไปขายฝากผู้อื่นจนหลุดเป็นสิทธิแล้ว ย่อมถือว่าเป็นสภาพการณ์ที่แสดงในตัวว่าจำเลยไม่เลี้ยงดูโจทก์และผิดตามสัญญาดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินคืนได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เลี้ยงดูโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้สมคบกับจำเลยที่ ๒ ลอบนำที่ดินของโจทก์ไปขายฝากบุคคลอื่นไว้ เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์และผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ คืนที่ดินและแบ่งที่นาส่วนของโจทก์ให้โจทก์ มิฉะนั้นก็ให้ใช้เงิน ๑๖,๐๐๐ บาทให้โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ ๑ ใช้หนี้แทนโจทก์ และยอมให้จำเลยที่ ๑ ขายที่ส่วนของโจทก์เพื่อเอาใช้หนี้แทน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินหรือให้ใช้ราคาที่ดินพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้พิจารณาข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว มีข้อระบุว่าโจทก์ยกที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของครอบครองทำกินและเลี้ยงดูโจทก์ ถ้าไม่เลี้ยงดูโจทก์จำเลยที่ ๑ ยอมคืนที่ดินให้โจทก์ เห็นว่าข้อความนี้เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดหนี้โดยมีเงื่อนไขและเป็นสัญญาต่างตอบแทนกัน ผลจึงเป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ยกให้นั้นอย่างจำกัด โดยมีหนี้ที่จะต้องคืนให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่เลี้ยงดูโจทก์ โดยเหตุนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินที่ได้รับยกให้ไปขายฝากกับผู้อื่นและหลุดเป็นสิทธิตามสัญญาขายฝากไปแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ละเมิดสิทธิของโจทก์ที่โจทก์มีอยู่ในทรัพย์สินที่ทำยอมนั้น ฉะนั้น โจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้
การที่จำเลยที่ ๑ เอาที่ดินไปขายฝากและหลุดเป็นสิทธิเช่นนี้ ถือว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ให้ที่อยู่ที่อาศัยแก่โจทก์ เป็นสภาพการณ์ที่แสดงในตัวว่าไม่เลี้ยงดูโจทก์และผิดต่อสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยอีกประการหนึ่ง ซึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินคืนได้
พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ คืนที่ดินปลูกบ้านและที่นาที่เป็นส่วนของโจทก์ให้แก่โจทก์ แต่ขณะนี้ที่บ้านจำเลยที่ ๑ ได้ขายไปแล้วไม่สามารถคืนให้โจทก์ได้ จึงให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๑๖,๐๐๐ บาทให้โจทก์แทน ส่วนที่นา ถ้าไม่สามารถตกลงคืนกันได้ ก็ให้ประมูลราคาระหว่างกัน หากประมูลราคาไม่ได้ ก็ให้ขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ตามส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share