แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ล. ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์2ครั้งและได้มอบสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และบัตรถอนเงินอัตโนมัติไว้กับโจทก์โดยมีข้อตกลงให้โจทก์นำสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และบัตรถอนเงินอัตโนมัติดังกล่าวไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อหักชำระหนี้เงินกู้ได้แม้การใช้เงินกู้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653วรรคสองแต่การที่โจทก์ได้รับมอบสิทธิในการเบิกเงินจากล. โดยนำบัตรถอนเงินอัตโนมัติไปถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของล.ที่เปิดไว้กับธนาคารผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติของธนาคารนั้นถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา231วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระต้นเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 437,653.52 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 275,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนแล้วเป็นเงินประมาณ 210,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เพราะไม่มีทรัพย์มรดกของนางเลิศระวีตกทอดแก่จำเลยที่ 2และที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาตและอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ผู้เยาว์ดำเนินคดีด้วยตนเองได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ชำระต้นเงินจำนวน 65,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 58,000 บาท นับแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้าย(วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2536) จนกว่าจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 7,000 บาท นับแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินทรัพย์มรดกที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 (ที่ถูกเป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3)ได้รับจากนางเลิศระวี แสงชูโต ผู้ตาย
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้น”ฟังได้ว่า นางเลิศระวี แสงชูโต กู้เงินจากโจทก์ไปรวม 2 ครั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2532 เป็นเงิน 268,000 บาทตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 โดยมีจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีเป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้เอกสารหมาย จ.2ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2534 เป็นเงิน 7,000 บาทตามหนังสือกู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.3 นางเลิศระวีถึงแก่ความตายวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2536 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องรับผิดชำระหนี้ที่นางเลิศระวีกู้เงินจากโจทก์เพียงใด พฤติการณ์ของโจทก์ดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับนางเลิศระวีนอกจากโจทก์และนางเลิศระวีทำสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.1โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้เอกสารหมาย จ.2 แล้ว นางเลิศระวียังได้มอบสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และบัตรถอนเงินอัตโนมัติของตนไว้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปถอนเงินเดือนจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของตนอันเป็นหลักประกันว่าโจทก์จะได้รับการชำระดอกเบี้ยทุกเดือนรวมทั้งต้นเงินคืนเป็นคราว ๆ ตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ หากมีเงินเหลือจากการหักชำระหนี้ในแต่ละเดือนแล้วนางเลิศระวีจะไปขอรับคืนจากโจทก์ นับตั้งแต่วันทำสัญญากู้ยืมเงินครั้งแรกวันที่ 13 กรกฎาคม2531 ถึงวันที่นางเลิศระวีถึงแก่ความตายวันที่ 11 กุมภาพันธ์2536 โจทก์ถอนเงินจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติของธนาคารเฉพาะวันที่ 5 ของทุกเดือนเป็นเงิน 335,000 บาท และมีการถอนเงินโบนัสอีก 10,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 345,000 บาทจึงต้องนำเงินจำนวนนี้ไปหักชำระหนี้จากเงินที่นางเลิศระวีกู้มาจากโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3จำนวนเงิน 275,000 บาท แต่เงินจำนวน 345,000 บาท ที่โจทก์ถอนไปดังกล่าวอันจะนำไปหักชำระหนี้นั้นเป็นการชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยซึ่งไม่ได้ความว่าคงเหลือต้นเงินเท่าใด และโจทก์ก็อ้างว่านางเลิศระวีไม่เคยชำระหนี้ให้โจทก์เลย ดังนั้นการที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดต้นเงินตามที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การยอมรับว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนไปแล้วเป็นเงิน 210,000 บาทนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนในเอกสารนั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จึงรับฟังไม่ได้ว่านางเลิศระวีชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์บางส่วนแล้วนั้น เห็นว่า การที่นางเลิศระวีมอบสิทธิในการถอนเงินโดยมอบบัตรถอนเงินอัตโนมัติให้โจทก์ไปถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของตนที่เปิดบัญชีไว้กับธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสามยอด ผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติของธนาคารดังกล่าวถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 จึงรับฟังได้ว่านางเลิศระวีได้ชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์บางส่วนแล้ว ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน