แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขอให้โจทก์ลงลายมือในใบมอบอำนาจ โดยหลอกลวงว่าเพื่อจำเลยจะได้ใช้ในการชำระภาษีอากรแทนโจทก์ เมื่อโจทก์ลงลายมือมอบให้จำเลยไปแล้ว จำเลยกลับไปกรอกข้อความในใบมอบอำนาจเป็นว่าโจทก์มอบให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลย เจ้าพนักงานที่ดินจึงจัดการโอนที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยไป ดังนี้มิใช่ความผิดฐานฉ้อโกงหรือปลอมหนังสือ แต่เป็นความผิดฐานยักยอกตามกฎหมายอาญา ม. 315
โจทก์บรรยายฟ้องไปในลักษณะฟ้องความผิดฐานฉ้อโกงและปลอมหนังสือ แต่ในฟ้องของโจทก์นั้นเองจับใจความได้ว่าโจทก์กล่าวหาจำเลยว่าได้กระทำผิดดังข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงและปลอมหนังสือแต่เป็นความผิดฐานยักยอกซึ่งโจทก์มิได้อ้างบทความผิดฐานยักยอกมา ถือได้ว่าโจทก์อ้างฐานความผิดและบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตาม ม.192 วรรค 4 ป.วิ.อาญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) 2499 ม.13.
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นบุตรของโจทก์และอยู่ร่วมบ้านเรือนเคียงกับโจทก์ ทั้งเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจจากโจทก์ให้ช่วยเหลือดูแลทรัพย์สมบัติของโจทก์ตลอดจนจัดการชำระภาษีอากรต่าง ๆ แทนโจทก์ด้วย เมื่อระหว่างวันที่ ๑ ถึง ๑๒ ต.ค. ๙๓ เวลากลางวัน จำเลยมีเจตนาทุจริตเอาความเท็จมากล่าวหลอกลวงโจทก์ว่าในการที่จำเลยจะจัดการชำระค่าภาษีอากรสำหรับที่ดินบ้านเรือนและห้องเช่าแทนโจทก์นั้นจำเป็นที่โจทก์จะต้องมอบอำนาจให้จำเลยด้วย และจำเลยได้นำกระดาษแบบพิมพ์มาให้โจทก์ลงลายมือ โจทก์หลงเชื่อว่าเป็นความจริงดังจำเลยกล่าวจึงพิมพ์ลายนิ้วหัวแม่มือลงในกระดาษที่จำเลยนำมานั้นให้แก่จำเลยไป แล้วจำเลยกับพวกได้สมคบกันปลอมหนังสือสำคัญโดยกรอกข้อความเดิมให้เป็นหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยแล้วจำเลยมีเจตนาทุจริตแสดงหนังสือต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลย เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงได้จัดการโอนให้ ทำให้โจทก์เสียหาย เหตุเกิดที่ ต.มหานาค อ.ป้อมปราบฯ จ.พระนคร โจทก์พึ่งทราบการกระทำผิดของจำเลยเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๔๙๖และได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานแล้วขอให้ลงโทษจำเลยตามก.ม.อาญา ม.๓๐๔,๒๒๒,๒๒๔,๒๒๕,๒๒๗ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.อาญา ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๕ ม.๓)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วสั่งรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ และตัดฟ้องว่าคดีฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวแล้วไม่ใช่ความผิดฐานฉ้อโกงตาม ก.ม.อาญา ม.๓๐๔ เพราะโจทก์เต็มใจกดลายพิมพ์นิ้วมือลงในใบมอบอำนาจแล้วมอบให้จำเลยไปกรอกข้อความเอาเอง เป็นการแสดงว่าโจทก์ได้มีความไว้วางใจให้จำเลยกรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจนั้นเองได้ แต่จำเลยไปกรอกผิดความประสงค์ของโจทก์ กรณีเช่นนี้จะเอาผิดกับจำเลยฐานปลอมหนังสือตาม ม.๒๒๒,๒๒๔,๒๒๕,๒๒๗ ก็ไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดีตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มีข้อความชัดว่าจำเลยกระทำผิดตาม ม.๓๑๕ แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดดังฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ และคดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความเพราะโจทก์ได้ร้องทุกข์ภายในอายุความแล้ว ที่สุดพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๓๑๔ จำคุก ๑ ปี แต่จำเลยกระทำแก่ทรัพย์ของญาติที่สืบสายโลหิต จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ม.๕๔ คงให้จำคุก ๖ เดือน จำเลยเป็นหญิงและไม่เคยต้องโทษมาก่อน ทั้งมีบุตรอยู่ในความอุปการะถึง ๕ คน จึงสมควรรอการลงโทษไว้ภายใน ๓ ปีตาม
ก.ม.อาญา ม.๔๑-๔๒ ที่แก้ไขใหม่
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยแต่เฉพาะปัญหาข้อก.ม.ที่ว่าโจทก์อ้างบทมาตราผิด ศาลจะมีอำนาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่ถูกต้องได้หรือไม่
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว คดีนี้เป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อ ก.ม. ดังนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนก็คือ จำเลยได้ขอให้โจทก์ลงลายมือในใบมอบอำนาจโดยบอกว่าเพื่อจำเลยจะได้ใช้ในการชำระภาษีอากรแทนโจทก์ เมื่อโจทก์ลงลายมือมอบให้จำเลยไปแล้ว จำเลยกลับไปกรอกข้อความในใบมอบอำนาจเป็นว่าโจทก์มอบให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลย เจ้าพนักงานที่ดินจึงจัดการที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยไป ข้อเท็จจริงดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่ามิใช่ความผิดฐานฉ้อโกงหรือปลอมหนังสือดังบท ก.ม.ที่โจทก์อ้างท้ายฟ้อง แต่เป็นความผิดฐานยักยอกลายมือตาม ก.ม.อาญา ม.๓๑๕ ซึ่งอ้างโยงให้ลงโทษตาม ม.๓๑๔ ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นนั้นจะปรับว่าเป็นกรณีอ้างฐานความผิดและบทมาตราผิดได้หรือไม่ ศาลฎีกาได้พิจารณาฟ้องของโจทก์แล้ว คงจับใจความได้ว่าโจทก์กล่าวหาจำเลยว่าได้กระทำความผิดดังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา เมื่อโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงได้ดังฟ้อง แต่โจทก์อ้างบท ก.ม. ให้ลงโทษจำเลยเป็นฐานฉ้อโกงและปลอมหนังสือ
จึงเห็นได้ว่าโจทก์อ้างฐานความผิดและบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ม.๑๙๒ วรรค ๔ ป.วิ.อาญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๖) ๒๔๙๙ ม.๑๓ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยยืนตามศาลชั้นต้นนั้นเป็นการถูกต้องแล้วพิพากษายืนให้ยกฎีกาจำเลย.