คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในทางแพ่ง ถ้าจำเลยได้บอกกล่าวโจทก์เสียก่อนและให้เวลาพอสมควรแล้ว จำเลยก็อาจตัดกิ่งไม้ของโจทก์ที่ยื่นล้ำที่ของจำเลยเข้าไปนั้นได้
ส่วนในทางอาญา ต้องพิจารณาเจตนาของจำเลยเป็นเรื่อง ๆ ไป ถ้าตามพฤติการณ์ที่ปรากฎเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาทำผิดทางอาญา แม้จำเลยไม่ได้บอกกล่าวโจทก์เสียก่อน จำเลยก็ตัดกิ่งไม้ที่ยื่นรุกล้ำเข้ามาในที่ของตนได้เพราะเป็นเรื่องที่จำเลยเพียงแต่กระทำการป้องกันกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนตามที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้โดยทั่ว ๆ ไป หากแต่จำเลยมิได้ปฏิบัติการให้ครบถ้วน ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1347 เท่านั้น.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2501)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตัดฟันกิ่งต้นงิ้วของโจทก์ร่วมเสียหายโดยไม่มีอำนาจจะทำได้ ขอให้สงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๓๒๔
จำเลยรับว่าได้ตัดกิ่งไม้ของโจทก์ร่วม แต่แก้ว่ากิ่งต้นไม้ปกคลุมเข้ามาในที่จำเลย ทำให้พืชผลที่ปลูกไว้ไม่งอกงาม ก่อนตัดได้บอกเจ้าของแล้ว ๒ ครั้ง เจ้าของเฉยเมย จำเลยจึงเข้าตัดเอง ไม่มีเจตนาจะทำให้เสียทรัพย์ประการใด
ศาลชั้นต้นฟังว่า ก่อนตัดจำเลยได้ขอร้องให้โจทก์ร่วมตัดภายในเวลาอันสมควรแล้ว เมื่อโจทก์ร่วมเพิกเฉยเสีย จำเลยจึงมีสิทธิตัดกิ่งไม้ที่ล้ำเข้ามาในเขตบ้านของจำเลยได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๔๗ จำเลยไม่ควรมีผิด พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่า ก่อนตัดกิ่งงิ้วจำเลยได้บอกว่าฝ่ายผู้เสียหายให้ทราบ พิพากษากลับว่า จำเลยผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา มาตรา ๓๒๔ ให้ปรับจำเลย ๒๐๐ บาท
จำเลยฎีกา ศาลฏีกาฟังว่า จำเลยได้ตัดกิ่งงิ้วของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้บอกกล่าวโจทก์ร่วมเสียก่อน ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์ปล่อยให้กิ่งงิ้วของโจทก์รุกล้ำเข้ามาในที่ของจำเลยนั้น เป็นการละเมิดสิทธิเหนือพื้นดินของจำเลยตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๓๕ ประกอบด้วย ม.๔๒๐ ซึ่งตาม ม.๑๓๓๗ อนุญาตไว้ว่าเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เช่นจำเลย มีสิทธิจะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปได้ หากแต่ ม.๑๓๕๗ บัญญัติเงื่อนไขต่อไปว่า ก่อนที่จะตัดกิ่งไม้ที่ยื่นล้ำเข้ามาเจ้าของที่ดินต้องบอกให้ผู้ครอบครองที่ดินติดต่อเสียภายในเวลาอันสมควรเท่านั้น การที่จำเลยไม่ได้บอกกล่าวโจทก์ร่วมเสียก่อน จึงเป็นเพียงการละเว้นที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายแพ่งวางไว้เท่านั้น ส่วนการที่จะเอาผิดทางอาญาแก่บุคคลซึ่งอยู่ในฐานะอย่างจำเลยในคดีนี้ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ต้องพิจารณาเจตนาของจำเลยเป็นเรื่อง ๆ ไปอีกชิ้นหนึ่ง สำหรับเรื่องนี้ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏ เห็นว่ายังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดทางอาญา เพราะจะเลยเพียงแต่กระทำการป้องกันกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนตามที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้โดยทั่ว ๆ ไป
หากแต่จำเลยมิได้ปฏิบัติการให้ครบถ้วนตามวิธีการที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๔๗ เท่านั้น
ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share