คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4627/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้มีระเบียบของจำเลยให้อำนาจจำเลยปลดลูกจ้างที่ลาป่วยเกินระยะเวลาที่กำหนดออกจากงานได้ก็ตาม ก็เป็นเพียงข้อกำหนดให้จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างดังกล่าวได้เท่านั้นดังนี้การที่ พ. ลูกจ้างเจ็บป่วยไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ ก็เป็นเหตุที่เกิดขึ้นตามสภาพของร่างกายโดยธรรมชาติมิใช่เกิดจากการกระทำของ พ.จึงถือไม่ได้ว่าพ. กระทำการฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งของจำเลย แม้จำเลยเลิกจ้าง พ. โดยมีหนังสือตักเตือนก่อนแล้วก็ตาม จำเลยก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ พ. เมื่อเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 2 ให้ความหมายของ “ค่าชดเชย” ไว้ว่า เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ส่วนเงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง(บำเหน็จ) ที่จำเลยจ่ายให้แก่ พ. ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างนั้นมีหลักเกณฑ์การคิดคำนวณตามที่ระบุในระเบียบ กำหนดให้สิทธิเฉพาะลูกจ้างที่มีเวลาทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี และมิได้ออกจากงานเพราะกระทำผิดหรือเหตุอื่น ๆ ที่ระบุในระเบียบดังนี้การจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง จึงมีหลักเกณฑ์การคิดคำนวณแตกต่างจากค่าชดเชยและถือไม่ได้ว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2499 จำเลยได้จ้างนายพิจิตร เชยมาลัยสามีโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำ ต่อมาจำเลยได้เลิกจ้างโดยมีคำสั่งปลดนายพิจิตรออกจากตำแหน่งเนื่องจากนายพิจิตรป่วยเป็นโรคหัวใจไม่สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้ นายพิจิตรทำงานมานานกว่า 33 ปี ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,730 บาทมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 52,380 แต่จำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยจำนวนดังกล่าวให้นายพิจิตร และนอกจากนี้จำเลยไม่ยอมจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2531 ซึ่งนายพิจิตร มีสิทธิได้รับตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ 149 ว่าด้วยการจ่ายเงินโบนัสของพนักงานธนาคารออมสิน เป็นเงิน 13,858.81 บาทให้แก่นายพิจิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2532นายพิจิตรถึงแก่กรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 52,380 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2531 อันเป็นวันที่นายพิจิตรทราบคำสั่งเลิกจ้าง และจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2531 จำนวน13,858.81 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 22 เมษายน 2532 อันเป็นวันที่จำเลยจ่ายเงินโบนัสประจำปีแก่พนักงานอื่นจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายพิจิตรสามีโจทก์เป็นพนักงานของจำเลยเป็นเวลากว่า 20 ปี ตามระเบียบการธนาคารออมสินฉบับที่ 180 ว่าด้วยการลาของพนักงานธนาคารออมสิน ข้อ 20(4)นายพิจิตรมีสิทธิลาป่วยโดยได้รับเงินเดือนเต็มได้ไม่เกิน 60 วันและได้รับเงินเดือนกึ่งหนึ่งอีกไม่เกิน 60 วัน และตามระเบียบดังกล่าวข้อ 22 ระบุว่า “พนักงานผู้ใดลาป่วยครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในข้อ 20 แล้ว จำเป็นต้องรักษาตัวต่อไป จะอนุญาตให้ลาต่อไปไม่เกิน 120 วัน โดยเป็นการลาไม่มีเงินเดือน เมื่อลาต่อครบ 120 วันแล้ว ยังลาต่อหรือไม่สามารถมาทำงานได้ ให้ธนาคารปลดออกจากงาน”นายพิจิตรป่วยเป็นโรคหัวใจ ได้ลาป่วยตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน2530 ถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 เป็นการลาโดยได้รับเงินเดือนเต็มตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2530 ถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2531เป็นการลาโดยได้รับเงินเดือนกึ่งหนึ่งและตั้งแต่วันที่ 7กุมภาพันธ์ 2531 ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2531 เป็นการลาโดยไม่มีเงินเดือน จำเลยได้มีหนังสือที่ พ. (กพ.) 370/2533 ลงวันที่27 พฤษภาคม 2531 เตือนนายพิจิตรว่า ถ้านายพิจิตรไม่สามารถมาทำงานได้ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2531 จำเลยจะปลดออกจากงานแต่นายพิจิตรไม่สามารถมาทำงานได้โดยลาป่วยตั้งแต่วันที่7 มิถุนายน 2531 ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2531 ซึ่งถือว่าจำเลยได้มีหนังสือตักเตือนให้นายพิจิตรปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยแล้วเมื่อนายพิจิตรไม่ปฏิบัติตาม จำเลยจึงเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ทั้งปรากฎว่าเมื่อจำเลยมีคำสั่งปลดนายพิจิตรออกจากงาน จำเลยได้จ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง (บำเหน็จ)ตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ 69 ว่าด้วยเงินทุนเลี้ยงชีพของพนักงานธนาคารออมสิน ซึ่งมีเงื่อนไขในการจ่ายเป็นอย่างเดียวกันกับค่าชดเชย และถ้าคิดคำนวณจะมีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชยให้แก่นายพิจิตรแล้ว จำเลยไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นายพิจิตร อีก และนายพิจิตรไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสประจำปี 2531 เพราะตามระเบียบการธนาคารออมสินฉบับที่ 149 ว่าด้วยการจ่ายเงินโบนัสของพนักงานธนาคารออมสินระบุว่า “พนักงานที่มีวันลาป่วยเกินกว่าปีละ 45 วัน ให้ลดเงินโบนัสลง โดยคิดหักวันละ 2 ส่วน เฉพาะวันที่ลาเกิน”ปรากฎว่าใน ปี 2531 นายพิจิตรลาป่วย 181 วัน คิดเป็นวันที่ลาเกินซึ่งต้องลดเงินโบนัสจำนวน 136 วัน เมื่อหักเงินโบนัสวันละ 2 ส่วนแล้วนายพิจิตรไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัส ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดพิจารณา โจทก์แถลงว่าไม่ติดใจเรียกร้องเงินโบนัสตามฟ้องจากจำเลย และโจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่านายพิจิตรสามีโจทก์ป่วยได้ยื่นใบลาตามคำให้การของจำเลยและจำเลยมีหนังสือเตือนไม่ให้นายพิจิตร ลาต่อแต่นายพิจิตร ยังไม่หายป่วยไม่สามารถมาทำงานได้และยื่นใบลาต่อ จำเลยจึงมีคำสั่งปลดนายพิจิตรออกจากงานโจทก์จำเลยยอมรับว่าเอกสารท้ายคำให้การของจำเลยทุกฉบับถูกต้องและแถลงว่าไม่สืบพยาน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่นายพิจิตรป่วยต้องลาเกินกำหนดเวลา ถือไม่ได้ว่ากระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยไม่ว่าจำเลยจะได้มีหนังสือเตือนไม่ให้ลาป่วยแล้วหรือไม่ เงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง (บำเหน็จ) ที่จำเลยจ่ายให้นายพิจิตร เมื่อจำเลยมีคำสั่งปลดนายพิจิตรออกจากงานนั้น เป็นเงินที่จ่ายตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ 67 ว่า ด้วยเงินทุนเลี้ยงชีพของพนักงานธนาคารออมสิน เป็นเงินประเภทอื่นที่ระบุวิธีการจ่ายและจำนวนเงินที่จ่ายแตกต่างไปจากค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่นายพิจิตร แล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 52,380 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 7กรกฎาคม 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ว่าตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ 180 ว่าด้วยการลาของพนักงานธนาคารออมสิน (เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1)นายพิจิตรสามีโจทก์มีสิทธิลาป่วยโดยได้รับเงินเดือนเต็มไม่เกิน 60 วัน และได้รับเงินเดือนกึ่งหนึ่งอีกไม่เกิน 60 วัน และยังมีสิทธิลาได้โดยไม่มีเงินเดือนอีกไม่เกิน 120 วัน หากยังลาต่อและไม่สามารถมาทำงานได้จำเลยมีสิทธิปลดนายพิจิตรออกจากงานได้แต่เมื่อนายพิจิตรได้ลาจนครบตามสิทธิที่มีตามระเบียบดังกล่าวแล้วยังได้ยื่นใบลาป่วยต่ออีกแสดงว่านายพิจิตร ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งของจำเลย และก่อนที่จำเลยจะเลิกจ้างนายพิจิตร จำเลยได้มีหนังสือเตือนให้ทราบว่า หากนายพิจิตรลาป่วยต่ออีกจำเลยจะเลิกจ้างนายพิจิตรแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นายพิจิตร เมื่อเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่นายพิจิตรเจ็บป่วยซึ่งทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่การงานได้ตามปกตินั้น เป็นเหตุที่เกิดขึ้นตามสภาพของร่างกายโดยธรรมชาติไม่ใช่เกิดจากการกระทำของนายพิจิตร แม้ระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ 180 ว่าด้วยการลาของพนักงานธนาคารออมสิน ข้อ 22 จะให้อำนาจจำเลยปลดนายพิจิตรออกงานในกรณีนายพิจิตร ขอลาป่วยต่อเมื่อได้ลาป่วยครบระยะเวลาที่กำหนดตามระเบียบข้อ 20แล้วและไม่สามารถมาทำงานได้ก็ตาม ก็เป็นเพียงข้อกำหนดให้จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างนายพิจิตร ได้เท่านั้นไม่ใช่ข้อกำหนดว่าด้วยกระทำความผิด ดังนั้นการที่นายพิจิตรขอลาป่วยและไม่สามารถมาทำงานได้ดังกล่าว ถือไม่ได้ว่านายพิจิตรกระทำการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบหรือคำสั่งของจำเลย แม้จำเลยจะได้มีหนังสือตักเตือนแล้ว จำเลยก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นายพิจิตร เมื่อเลิกจ้าง
จำเลยอุทธรณ์อีกข้อหนึ่งว่า เมื่อจำเลยเลิกจ้างนายพิจิตรสามีโจทก์ จำเลยได้จ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง (บำเหน็จ) ให้นายพิจิตร ตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ 67 ข้อ 11 ซึ่งมีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ถือว่าจำเลยได้จ่ายเงินประเภทเดียวกันกับค่าชดเชยแล้วจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์อีกพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 ได้ให้ความหมายของ “ค่าชดเชย”ไว้ว่า เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างนอกเหนือจากเงินประเภทอื่น ซึ่งนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง สำหรับเงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง (บำเหน็จ) ที่จำเลยจ่ายให้นายพิจิตร เมื่อเลิกจ้างนั้น มีหลักเกณฑ์การคิดคำนวณตามที่ระบุไว้ตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับดังกล่าวข้อ 10 ว่า “เงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสองให้คำนวณโดยตั้งเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยเวลาทำงาน”และตามข้อ 11 ระบุว่า “พนักงานในกรณีดังต่อไปนี้ ไม่มีสิทธิได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง
(1) มีเวลาทำงานต่ำกว่าห้าปี
(2) ออกจากงานเพราะกระทำการทุจริตในหน้าที่หรือเพราะกระทำการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ธนาคารต้องเสียหาย หรือเพราะเกียจคร้านไม่ตั้งใจปฏิบัติงานและคณะกรรมการธนาคารเห็นว่า ไม่สมควรจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสองให้
(3) ออกจากงานเพราะต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่ความผิดฐานลหุโทษหรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท” การจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง (บำเหน็จ) มีหลักเกณฑ์การคิดคำนวณแตกต่างไปจากค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชย ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share