แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เบียดบัง ยักยอกเงินของโรงเรียนของโจทก์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยไป โดยมีคำขอบังคับให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ถือเป็นคำฟ้องเพื่อเรียกทรัพย์สินคืนจากจำเลยผู้ยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งมีสิทธิติดตาม เอาคืนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 มิใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด ไม่ตกอยู่ในบังคับของบทบัญญัติอายุความในเรื่องละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 และการฟ้องคดีเพื่อใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สิทธิเช่นนี้ไว้ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 6,578,026.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,784,019.05 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องจำเลยในมูลละเมิดและเรียกให้ชำระเงินคืน แต่โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยภายใน 1 ปี นับแต่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยโจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดตั้งแต่ปี 2541
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความแถลงยอมรับข้อเท็จจริงว่า พนักงานอัยการจังหวัดนราธิวาสเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นในข้อหายักยอกทรัพย์ ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2542 ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 862/2542 หมายเลขแดงที่ 582/2547 ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน แล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีนี้ว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นมูลละเมิดจากความผิดในทางอาญาของคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2550 คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดการโรงเรียนอัตตัรกียะห์อิสลามียะห์ของโจทก์ มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการด้านการเงินและบัญชีของโรงเรียนดังกล่าวได้เบียดบังยักยอกเงินของโรงเรียนของโจทก์จำนวน 4,784,019.05 บาท ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยไป โดยมีคำขอบังคับให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์อันเป็นคำฟ้องเพื่อเรียกทรัพย์สินคืนจากจำเลยผู้ยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 มิใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด ไม่ตกอยู่ในบังคับของบทบัญญัติอายุความในเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 และการฟ้องคดีเพื่อใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สิทธิเช่นนี้ไว้ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดจึงขาดอายุความแล้วนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น การที่ศาลชั้นต้นด่วนวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีโดยคู่ความยังมิได้สืบพยาน กรณีจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาในประเด็นอื่นที่ได้ชี้สองสถานไว้ต่อไปตามรูปคดี
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่