คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4613/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยสำคัญผิดว่าคนที่มาเคาะประตูห้องพักเป็นสามีเก่าของผู้ตายจะมาทำร้ายจำเลย แต่กลับเป็นผู้ตาย ข้อเท็จจริงนั้นก็ไม่มีอยู่จริง ตาม ป.อ. มาตรา 62 วรรคแรก ซึ่งตามกฎหมายกรณีดังกล่าวจำเลยมีสิทธิป้องกันได้ แต่สำหรับคดีนี้ปรากฏว่าประตูห้องเกิดเหตุมีโซ่ คล้อง อยู่ สามารถเปิดได้ประมาณ 1 คืบ การที่จำเลยใช้ปืนยิงออกไปจึงเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องทำเพื่อป้องกัน ตามมาตรา 69 เหตุเกิดในแฟลต ซึ่งมีคนเช่าอยู่จำนวนมาก และผู้ตายซึ่งมาเคาะ ประตูก็อยู่บนทางเดินระหว่างกลางห้องพัก ทั้งขณะเกิดเหตุไฟฟ้าระหว่างทางเดินก็เปิดแล้วจำเลยซึ่งอยู่ในห้องสามารถมองออกไปทางหน้าห้องได้ชัดเจน ประตูห้องเกิดเหตุมีโซ่ คล้อง อยู่ การที่ จำเลยยิงผู้ตายจึงเกิดขึ้นด้วยความประมาทตาม มาตรา 62 วรรค 2 ด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา7, 72 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่21 ตุลาคม 2519 ข้อ 6 ขอให้ริบของกลาง เว้นแต่อาวุธปืนของกลางให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปฏิเสธข้อหาฆ่าผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจำคุก 20 ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 21 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 14 ปี ให้คืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ ของกลางอื่นให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 291, 69, 62 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 288ประกอบมาตรา 69 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรู้จักกับผู้ตายตั้งแต่ยังเด็กบ้านอยู่คนละฟากคลอง ผู้ตายอยู่กินกับนายเฉลยเป็นเวลาประมาณ 11 ปีมีบุตรด้วยกัน 2 คน และได้จดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาเมื่อปี 2529ผู้ตายได้แยกทางกับนายเฉลยโดยผู้ตายอยู่ที่บ้านมารดาของผู้ตายที่จังหวัดนนทบุรี แต่ผู้ตายกับนายเฉลยไม่ได้จดทะเบียนหย่ากันหลังจากนั้นจำเลยไปมาหาสู่ผู้ตายเสมอจนรักใคร่และได้เสียกันต่อมาจำเลยกับผู้ตายได้มาเช่าแฟลตพงษ์เพชรอยู่ด้วยกัน เมื่อวันที่15 มกราคม 2531 เวลา 18 นาฬิกาเศษ ขณะจำเลยอยู่ในห้องดังกล่าวผู้ตายได้มาเคาะประตูห้อง จำเลยได้ใช้อาวุธปืนสั้นของกลางยิงออกมาจากในห้องถูกผู้ตายถึงแก่ความตายโดยกระสุนปืนถูกผู้ตายที่ใต้ตาขวาทะลุเข้าไปถูกฐานสมอง และออกไปทางกะโหลกหลังด้านซ้ายอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของนางประไพมารดาจำเลยซึ่งเก็บไว้ที่บ้านที่จังหวัดนนทบุรี จำเลยนำมาเก็บไว้ในห้องพักดังกล่าวข้างต้นในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานจับจำเลยได้และยึดได้อาวุธปืนอยู่ในถังน้ำซักโครกในห้องน้ำเกิดเหตุ ซึ่งมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ 5 นัดปลอกกระสุนปืน 1 ปลอกซองปืนวางอยู่บนเตียงในห้องเกิดเหตุ 1 ซองกระสุนปืน 1 นัด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกซุกซ่อนอยู่ใต้หมอนและหัวกระสุนปืนในศพผู้ตายเป็นของกลาง และวินิจฉัยว่าจำเลยสำคัญผิดว่าคนที่มาเคาะประตูห้องพักเป็นนายเฉลยสามีเก่าของผู้ตายจะมาทำร้ายจำเลย แต่เมื่อไม่ใช่นายเฉลยและกลับเป็นผู้ตายข้อเท็จจริงนั้นก็ไม่มีอยู่จริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62วรรคแรก ซึ่งตามกฎหมายกรณีดังกล่าวจำเลยมีสิทธิกระทำเพื่อป้องกันได้ แต่สำหรับคดีนี้ปรากฏว่าประตูห้องเกิดเหตุมีโซ่คล้องอยู่สามารถเปิดได้เพียงประมาณ 1 คืน การกระทำของจำเลยจึงเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69และข้อเท็จจริงปรากฏว่าเหตุเกิดในแฟลตซึ่งมีคนเช่าอยู่จำนวนมากและคนที่มาเคาะที่หน้าประตูก็อยู่บนทางเดินระหว่างกลางห้องพักทั้งขณะเกิดเหตุไฟฟ้าระหว่างทางเดินก็เปิดแล้ว จำเลยซึ่งอยู่ในห้องสามารถมองออกไปทางหน้าห้องได้ชัดเจน ประตูห้องเกิดเหตุมีโซ่คล้องอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเกิดขึ้นด้วยความประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรค 2 ด้วย
พิพากษายืน.

Share