คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทพ. ซึ่งโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาได้สร้างถนนพิพาทโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่3และที่4ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สร้างถนนฉะนั้นจึงถือได้ว่าถนนพิพาทเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา146ที่จะไม่เป็นส่วนควบของที่ดินจำเลยที่1ที่3ที่4ที่5และที่6เป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่มีถนนพิพาทผ่านก็ย่อมมีสิทธิใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1360 แม้จำเลยที่1จะเป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่ตั้งถนนพิพาทและมีสิทธิใช้ที่ดินและถนนพิพาทนั้นในฐานะเจ้าของรวมก็ตามแต่การใช้สิทธิของจำเลยที่1จะต้องไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา421และ1360การกระทำของจำเลยที่1ที่ใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อขนดินและวัสดุต่างๆในการทำโครงการจัดสรรที่ดินและบ้านทำให้ถนนพิพาทเสียหายจึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อประมาณปี 2517 บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ทำสัญญาเข้าร่วมดำเนินงานจัดสรรที่ดินกับการเคหะแห่งชาติตามโครงการเคหะชุมชนบัวขาว ที่หมู่ 11แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่จากนั้นบริษัทพาณิชยกธนาสาร จำกัด ได้สร้างถนนคอนกรีตกว้าง10 เมตร ตั้งแต่บริเวณทางแยกจากถนนรามคำแหง (สุขาภิบาล 3)ตลอดเส้นทางที่เป็นทางเข้าโครงการเคหะชุมชนบัวขาว เรียกว่าถนนบัวขาว ซึ่งเป็นถนนพิพาท โดยได้รับความยินยอมจากนายเชาว์ ภู่เจริญยศ และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่สร้างถนนพิพาทและเจตนาให้ถนนพิพาทเป็นทางสำหรับผู้ซื้อบ้านอยู่อาศัยในโครงการดังกล่าวได้ใช้เดินหรือใช้รถยนต์ส่วนบุคคลแล่นเข้าออกจากหมู่บ้านสู่ถนนรามคำแหง อันเป็นทางสาธารณะ บุคคลภายนอกไม่มีสิทธิที่จะใช้ถนนนี้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัดก่อน ต่อมาปี 2522 การเคหะแห่งชาติโอนกิจการทั้งหมดให้บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด แล้วบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ได้โอนกิจการของโครงการเคหะชุมชนบัวขาวให้โจทก์ดำเนินงานแต่เพียงผู้เดียวโดยโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิในการครอบครองดูแลรักษาและใช้ถนนพิพาทจึงตกเป็นสิทธิของโจทก์แต่เพียงผู้เดียวประมาณต้นปี 2532 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ติดต่อกับโจทก์ขอใช้ถนนพิพาทเพื่อให้รถยนต์บรรทุกสิบล้อซึ่งบรรทุกดินแล่นผ่านถนนพิพาทด้านที่ติดกับถนนรามคำแหงโดยให้ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งแต่โจทก์ไม่ยอมต่อมาระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2532 ถึงวันที่ 11 มกราคม 2533 จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันจ้างวานหรือใช้ให้บุคคลผู้มีชื่อขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกดินซึ่งมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าคันละ 18 ตัน ถึง 23 ตัน แล่นผ่านถนนพิพาทวันละหลายสิบเที่ยวเข้าไปยังหมู่บ้านโครงการเคหะชุมชนบัวขาวเพื่อไปถมที่ดินโฉนดเลขที่ 17955 และที่ดินข้างเคียงซึ่งจำเลยที่ 1ที่ 2 เตรียมไว้สำหรับสร้างหมู่บ้านจัดสรรชื่อหมู่บ้านเจริญชัยทำให้พื้นผิวถนนคอนกรีตทรุดตัว ไม่ได้ระดับตามที่ได้ก่อสร้างไว้ ทั้งเกิดรอยร้าวและแตก คิดเป็นค่าเสียหาย 1,000,000 บาทจำเลยทั้งหกต้องร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิดคือวันที่ 29 ธันวาคม 2532 ขอให้บังคับทั้งหกมิให้นำหรือควบคุมรถยนต์หรือรถยนต์ที่บรรทุกสิ่งของเข้าไปแล่นในถนนพิพาท ตามแผนผังท้ายฟ้องหมายเลข 5 ตรงที่ระบายสีส้มไว้ หรือจ้าง วานใช้ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้บุคคลอื่นนำหรือควบคุมรถยนต์หรือรถยนต์ที่บรรทุกสิ่งของเข้าไปแล่นในถนนพิพาทให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,002,498.64 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 1,000,000บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งหกให้การว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กระทำไปในฐานะที่เป็นเจ้ากรรมสิทธิ์ที่ดินที่สร้างถนนพิพาทจึงไม่เป็นการละเมิดและไม่ได้ทำให้ถนนพิพาทเสียหายหรือทรุดแตกร้าวความเสียหายของถนนพิพาทเกิดจากการใช้งานมานานและมีรถยนต์บรรทุกและรถยนต์ส่วนบุคคลแล่นผ่านเข้าออกจากถนนรามคำแหงผ่านถนนพิพาทเข้าไปในหมู่บ้านบัวขาวกว่า 10 ปี มาแล้ว จำเลยที่ 5ที่ 6 ไม่เคยจ้างวานหรือใช้บุคคลใด ๆ ทำการบรรทุกดินเพื่อถมที่ดินตามที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งหกมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 กระทำแทนจำเลยที่ 1ได้ จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นสามีภรรยากัน ถนนบัวขาว ซึ่งเป็นถนนพิพาทเป็นถนนคอนกรีตกว้าง 10 เมตร เริ่มจากบริเวณทางแยกจากถนนรามคำแหง (สุขาภิบาล 3) ไปเข้าสู่โครงการเคหะชุมชนบัวขาวหรือหมู่บ้านบัวขาว โดยถนนนี้ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1675 และ 1676 แขวงมีนบุรี (แสนแสบ) เขตมีนบุรี(แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า จำเลยทั้งหกมีสิทธิใช้ถนนพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เสียก่อน โดยจำเลยทั้งหกนำสืบอ้างว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4ที่ 5 และที่ 6 ต่างมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1675 และ 1676 ดังกล่าว จึงมีปัญหาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5และที่ 6 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินดังกล่าวจริงหรือไม่ศาลฎีกาได้ตรวจดูโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงตามเอกสารหมาย ล.2และ ล.14 แล้วปรากฎตามสารบัญการจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 1675ตามเอกสารหมาย ล.2 มีชื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับนายเชาว์ ภู่เจริญยศนายสนิท จูหลาย และนายโชติ โคระทัต ส่วนสารบัญการจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 1676 ตามเอกสารหมาย ล.14 มีชื่อจำเลยที่ 1ที่ 4 ที่ 5 และ ที่ 6 ถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับนายเชาว์ ภู่เจริญยศ นายสนิท จูหลาย และนายโชติ โคระทัตโดยจำเลยที่ 3 เป็นสามีจำเลยที่ 4 ดังนั้น จำเลยที่ 1 ที่ 3ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ต่างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินทั้งสองแปลงซึ่งเป็นที่ตั้งถนนพิพาทมีปัญหาว่า ถนนพิพาทตกเป็นส่วนควบของที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 144 หรือไม่ เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์เอง ปรากฎว่าบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ซึ่งโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาได้สร้างถนนพิพาท โดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 และที่ 4ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สร้างถนน ฉะนั้นจึงถือได้ว่าถนนพิพาทเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146ที่จะไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 เป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่มีถนนพิพาทผ่านก็ย่อมมีสิทธิใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกได้และปรากฎจากการนำสืบของโจทก์ว่า การสร้างถนนพิพาทนี้ บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ยอมให้ลูกค้าของเคหะชุมบัวขาวใช้ถนนนี้เข้าออกได้ซึ่งจำเลยทั้งหกก็นำสืบว่า มิใช่แต่เฉพาะบุคคลในเคหะชุมชนบัวขาวเท่านั้นบุคคลทั่วไปและเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ให้สร้างถนนทุกคนมีสิทธิใช้ถนนพิพาทด้วยจึงน่าเชื่อว่าเป็นจริงดังที่จำเลยทั้งหกนำสืบเพราะการยอมให้สร้างถนนพิพาทในที่ดินของจำเลยที่ 3 และที่ 4 นั้น มิได้เรียกค่าตอบแทนแต่ประการใด ฉะนั้นจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมย่อมมีสิทธิ์ที่จะใช้สอยถนนพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 มีปัญหาว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใด โดยโจทก์นำสืบว่าเมื่อต้นปี 2532 จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และที่ 4 มาติดต่อโจทก์เพื่อขออนุญาตนำรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกแล่นผ่านถนนพิพาทเพื่อนำดินไปถมในที่ดินจัดสรรของจำเลยที่ 1 โดยเสนอค่าตอบแทนให้โจทก์แต่มีเงื่อนไขให้โจทก์จดทะเบียนภาระจำยอม โจทก์ไม่ตกลง ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2532 ถึงเดือนมกราคม 2533 จำเลยที่ 1ถึงที่ 6 ได้ว่าจ้างบุคคลอื่นให้นำรถยนต์บรรทุกสิบล้อหลายสิบคันบรรทุกดินแล่นผ่านถนนพิพาทเพื่อนำดินไปถมที่ดินโครงการหมู่บ้านเจริญชัยของจำเลยที่ 1 ทำให้ถนนพิพาทเสียหาย ก่อนอื่นเห็นควรพิจารณาเสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ร่วมกันจ้างบุคคลอื่นให้นำรถยนต์บรรทุกสิบล้อขนดินไปถมที่ดินโครงการหมู่บ้านเจริญชัยของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์นำสืบหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีจำเลยที่ 2 เบิกความยอมรับว่า ได้ว่าจ้างรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกดินไปถมที่ดินในโครงการหมู่บ้านเจริญชัยของจำเลยที่ 1 จริง ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ความว่าเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 โครงการหมู่บ้านเจริญชัยนี้จำเลยที่ 2 ทำในนามของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ฐานะส่วนตัว จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างให้ถมดินจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมว่าจ้างด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 คงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ไปกับจำเลยที่ 2 ติดต่อโจทก์เพื่อขออนุญาตนำรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกดินแล่นผ่านถนนพิพาทเพื่อไปถมดินในที่ดินโครงการหมู่บ้านเจริญชัยของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 ที่ 6 ได้ไปที่สำนักงานของโจทก์โดยจำเลยที่ 5อ้างว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสอบถามเจ้าหน้าที่โจทก์ว่าผู้ใดไปแจ้งความให้เจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุมรถยนต์บรรทุกดินเท่านั้น โจทก์มิได้นำผู้รับจ้างถมดินตลอดจนพยานอื่นมาเบิกความสนับสนุนว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ว่าจ้างบุคคลอื่นมาถมดินจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังได้ความว่า โจทก์ไปแจ้งความว่ามีบุคคลบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์คือถนนพิพาทโดยไม่ได้ระบุว่าใครบ้างจึงเป็นข้อสนับสนุนอีกประการหนึ่งว่าโจทก์เองก็ไม่ทราบว่าผู้ที่ทำให้ถนนพิพาทเสียหายเป็นบุคคลใด ประกอบกับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 มิได้ร่วมทำกิจการโครงการหมู่บ้านเจริญชัยกับจำเลยที่ 1 ด้วย จึงมีเหตุผลให้น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้รถยนต์บรรทุกสิบล้อนำดินไปถมในที่ดินโครงการหมู่บ้านเจริญชัยของจำเลยที่ 1 ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การที่จำเลยที่ 1ว่าจ้างรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกดินไปถมที่ดินโครงการหมู่บ้านเจริญชัย ของจำเลยที่ 1 ทำให้ถนนพิพาทเสียหายหรือไม่และเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายสวัสดิ์ รองรักษ์ กรรมการผู้จัดการโจทก์ นายโกศล สัญพร้อม ลูกจ้างโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลคนงานของโจทก์ นายประวัติ รัตนจำนองวิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้างถนนพิพาท และนายสำเนียง สุวจิต เสมียนพนักงานทั่วไปของโจทก์เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ถนนพิพาทเสียหาย เนื่องจากรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกดินมาถมในที่ดินโครงการหมู่บ้านเจริญชัยของจำเลยที่ 1 เห็นว่า การทำโครงการจัดสรรที่ดินและบ้านจะต้องใช้ดินมาถมที่ดินเป็นจำนวนมากตลอดจนวัสดุและอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง จำต้องใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อขนดินและวัสดุต่าง ๆ หลายคันและหลายเที่ยวย่อมทำให้ถนนพิพาทเสียหายอย่างแน่นอน ที่โจทก์นำสืบว่า ถนนพิพาทเสียหายจึงมีเหตุผลน่าเชื่อถือ มีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นละเมิดหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่ตั้งถนนพิพาทและมีสิทธิใช้ที่ดินและถนนพิพาทนั้นในฐานะเจ้าของรวมก็ตาม แต่การใช้สิทธิของจำเลยที่ 1จะต้องไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และ 1360 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์มีปัญหาต่อมาว่าค่าเสียหายมีเพียงใด ได้ความจากคำเบิกความของนายประวัติพยานโจทก์ซึ่งเป็นวิศวกรตอบทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถามค้านว่า ถนนพิพาทจะเสียหายเมื่อใด ไม่สามารถจะดูออกได้ และจะเสียหายก่อนปี 2532 หรือเสียหายในปี 2528 พยานก็ไม่ทราบ ในปี 2522และหลังปี 2523 หมู่บ้านบัวขาวทีโจทก์รับโอนกิจการมาได้มีการก่อสร้างโครงการเพิ่มเติมและโครงการใหม่อีกด้วยและนายสำเนียงพยานโจทก์อีกผู้หนึ่งก็เบิกความว่า ถนนพิพาทได้เสียหายมาก่อนปี 2526 แล้ว โจทก์จึงได้เริ่มเก็บค่าใช้ถนนพิพาท คงได้ความแต่เพียงว่าถนนทรุดเอียงโดยเอียงเป็นบางจุดยิ่งกว่านั้นได้ความจากนายสวัสดิ์กรรมการผู้จัดการ โจทก์ว่าถนนพิพาททรุดตรงจุดที่จะเลี้ยวไปยังที่ดินโครงการหมู่บ้านของจำเลยที่ 1 แต่จะทรุดเพียงใดพยานก็ไม่ได้เบิกความถึง เห็นว่าถนนพิพาทก่อสร้างเมื่อปี 2519 ปรากฎจากคำพยานโจทก์ว่าถนนได้เสียหายมาก่อนปี 2526 อาจจะเกิดจากการที่หมู่บ้านบัวขาวเดิมของโจทก์ได้มีการก่อสร้างโครงการเพิ่มเติมและโครงการใหม่และผู้ที่อาศัยเดิมได้ก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นมา ซึ่งจะต้องมีการใช้รถยนต์บรรทุกขนดินและวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ ตลอดจนเสื่อมสภาพจากการใช้งานของคนในหมู่บ้านของโจทก์เองจนกระทั่งจำเลยที่ 1ได้ว่าจ้างให้บุคคลอื่นมาถมดินในต้นปี 2533 จำเลยที่ 1 จึงมีส่วนทำให้ถนนเสียหายด้วยดังได้วินิจฉัยข้างต้น ซึ่งโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำให้ถนนเสียหายมากน้อยเพียงใดและจากคำฟ้องของโจทก์จำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์บรรทุกดินผ่านถนนพิพาทเพียง 12 วัน เท่านั้น จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียให้100,000 บาท ส่วนที่โจทก์ขอให้ห้ามจำเลยทั้งหกทำหรือควบคุมรถยนต์หรือรถยนต์บรรทุกสิ่งของเข้าไปแล่นในถนนพิพาท หรือจ้างวานใช้หรือกระทำด้วยปะการใด ๆ เพื่อให้บุคคลอื่นนำหรือควบคุมรถยนต์หรือรถยนต์บรรทุกสิ่งของเข้ามาแล่นในถนนพิพาทนั้นเห็นว่า จำเลยทั้งหกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีถนนพิพาทก็ย่อมมีสิทธิใช้ถนนพิพาทเป็นทางเข้าออกได้ จึงให้ยกคำขอส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายจำนวน100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิด (วันที่ 29 ธันวาคม 2532) จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share