แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกาศขายไม้ซุงโดยวิธีประมูลปิดซอง มีเงื่อนไขในการประมูลว่าผู้ยื่นประมูลจะต้องวางเงินมัดจำซองแพละ 10,000 บาท หากผู้ใดประมูลได้ผู้นั้นจะต้องชำระค่าไม้ซุง 15% ของแต่ละแพที่ประมูลได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันประกาศแจ้งผู้ประมูลได้หากพ้นกำหนดนี้โจทก์จะริบเงินมัดจำซองที่วางไว้ แต่มาคณะกรรมการของโจทก์ปิดซองประกาศแจ้งให้จำเลยทราบว่า จำเลยเป็นผู้ประมูลไม้ได้จำนวน 5 แพ แล้วโจทก์นำเช็คของจำเลยจำนวนเงิน 50,000 บาท ซึ่งจำเลยวางเงินมัดจำประจำซองไว้ไปขึ้นเงินที่ธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินจำเลยไม่มีในบัญชี และครั้นเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน 15% ของไม้ทีประมูลได้จำเลยไม่นำเงินมาชำระ ซึ่งจำเลยจะต้องถูกริบเงินมัดจำซอง 50,000 บาท แต่โจทก์ก็ไม่อาจริบได้เพราะเช็คนั้นไม่มีเงิน จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 50,000 บาท ดังนี้ ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องโดยอ้างสิทธิที่จะริบมัดจำซึ่งได้แก่เช็ครายนี้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค เพราะถ้าไม่มีการนำเอาเช็คคราวนี้ไปวางมัดจำประจำซองแล้ว ก็ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการให้มัดจำไว้ตามมาตรา 377 ตามมาตรา 378(2) ฉะนั้น เมื่อเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องลงวันที่เกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามมาตรา 1002
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกาศขายไม้ซุงโดยวิธีประมูลปิดซอง มีเงื่อนไขในการประมูลว่า ผู้ยื่นประมูลจะต้องวางเงินมัดจำซองแพละ ๑๐,๐๐๐ บาท หากผู้ใดประมูลได้ผู้นั้นจะต้องชำระค่าไม้ซุง ๑๕% ของแต่ละแพที่ประมูลได้ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันประกาศแจ้งผู้ประมูลได้ หากพ้นกำหนดนี้ โจทก์จะริบเงินมัดจำของที่วางไว้ ต่อมาคณะกรรมการของโจทก์ได้ปิดประกาศแจ้งให้จำเลยทราบว่าจำเลยเป็นผู้ประมูลไม้ได้จำนวน ๕ แพ แล้วโจทก์นำเช็คของจำเลยจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยวางมัดจำประจำซองไว้ไปขึ้นเงินที่ธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะเงินจำเลยไม่มีในบัญชี และครั้นเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน ๑๕% ของไม้ที่ประมูลได้ จำเลยไม่นำเงินมาชำระ ซึ่งจำเลยจะต้องถูกริบเงินมัดจำซอง ๕๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ก็ไม่อาจริบได้เพราะเช็คนั้นไม่มีเงิน จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะตอนต้นโจทก์บรรยายต้องเป็นเรื่องซื้อขาย แต่ตอนท้ายกลับว่าจำเลยไม่ชำระเงินตามเช็ค ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเรียกเงินตามเช็ค และขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเรียกเงินตามเช็ค และโจทก์ฟ้องมาเกิน ๑ ปี จึงขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์นั้น เช็คจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท รายนี้เป็นวางมัดจำประจำซองที่จำเลยประมูลซื้อไม้ได้ ๕ แพ เพราะโจทก์จะยึดเงินมัดจำของซองผู้ประมูลได้ไว้ก่อน เพื่อให้ผู้ประมูลนำเงินร้อยละ ๑๕ ของราคาไปชำระให้โจทก์ภายใน ๑๕ วัน ปรากฏว่าต่อมาโจทก์นำเช็ค ๕๐,๐๐๐ บาท นี้ไปขึ้นเงินไม่ได้ และภายในกำหนด ๑๕ วัน จำเลยก็ไม่ชำระเงินร้อยละ ๑๕ จำเลยจึงจะต้องถูกริบมัดจำของ ๕๐,๐๐๐ บาท แต่เช็ครายนี้ขึ้นเงินไม่ได้เพราะจำเลยไม่มีเงินในบัญชี โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์เช่นนี้เป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค ๕๐,๐๐๐ บาท นั่นเอง เพราะถ้าไม่มีการนำเอาเช็ครายนี้ไปวางมัดจำประจำซองแล้วก็ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการให้มัดจำไว้ตามมาตรา ๓๗๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และไม่อาจริบมัดจำได้ ตามาตรา ๓๗๘(๒) คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญา แต่เป็นการฟ้องโดยอ้างสิทธิที่จะริบมัดจำ สิ่งที่เป็นมัดจำคือเช็ครายนี้เอง ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นมัดจำและโจทก์มีสิทธิริบได้ เมื่อเป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็คซึ่งลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๐๙ แต่โจทก์มาฟ้องเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๑๑ และจำเลยก็ต่อสู้อายุความเช่นนี้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามมาตรา ๑๐๐๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พิพากษายืน