แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นั่งรถคันเดียวกันมาที่ร้านอาหาร แล้วจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เจรจาตกลงขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ดาบตำรวจ ก. ต่อมาสิบตำรวจโท ป. พาจำเลยที่ 3 ไปตรวจนับเงินค่าเมทแอมเฟตามีน วันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มาที่จุดนัดหมาย จำเลยที่ 1 ตรวจนับเงิน จำเลยที่ 2 พาสิบตำรวจโท ป. ไปรับเมทแอมเฟตามีนที่สถานีบริการน้ำมันคิวเอท ส่วนจำเลยที่ 4 นำเมทแอมเฟตามีนมามอบให้จำเลยที่ 2 ที่สถานีบริการน้ำมันคิวเอทและจำเลยที่ 2 ส่งมอบต่อให้สายลับในทันที พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันรู้เห็นเป็นใจและแบ่งหน้าที่กันทำมาตั้งแต่ต้น
ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและคำให้การในชั้นสอบสวนซึ่งเจ้าพนักงานไม่ได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้ทราบก่อนและไม่ได้แจ้งว่าจะไม่ให้การก็ได้เป็นพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84, 134/1 และ 134/4 นั้น เห็นว่า มาตรา 84, 134/1 และ 134/4 ได้มีการแก้ไขโดยพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ.2547 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2547 เป็นต้นไป โดยไม่มีผลบังคับย้อนหลัง จึงไม่กระทบต่อกระบวนพิจารณาความอาญาที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่คำรับสารภาพในชั้นจับกุมและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 4 ได้กระทำขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับ คำรับสารภาพในชั้นจับกุมและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องห้ามใช้เป็นพยานหลักฐาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 83, 91 ริบของกลาง บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ที่รอการลงโทษเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 4 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสอง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม), 102 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งแต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต บวกโทษจำคุก 6 เดือน ของจำเลยที่ 4 ที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ในคดีนี้ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นั่งรถมาที่ร้านอาหารและเจรจาซื้อขายเมทแอมเฟตามีนกับดาบตำรวจเกษม นัดส่งมอบวันที่ 28 สิงหาคม 2545 ส่วนเวลาและสถานที่จะนัดกันใหม่ ก่อนจะกลับจำเลยที่ 3 ขอตรวจนับเงิน สิบตำรวจโทปิติได้เดินแยกออกมากับจำเลยที่ 3 เปิดกระโปรงท้ายรถคันที่ดาบตำรวจเกษมขับมาแล้วให้จำเลยที่ 3 ตรวจนับเงิน ต่อมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2545 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา ร้อยตำรวจโทกฤษดาได้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 พร้อมส่งมอบเมทแอมเฟตามีนโดยนัดหมายให้ดาบตำรวจเกษมและสิบตำรวจโทปิตินำเงินไปให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เซ็นทรัลแอร์พอร์ต ร้อยตำรวจโทกฤษดาจึงวางแผนเพื่อล่อซื้อจับกุม โดยวางกำลังตำรวจเป็น 2 ชุด ชุดที่ 1 มอบหมายให้ดาบตำรวจเกษมใช้รถเก๋งนำเงินล่อซื้อ 1,944,000 บาท ใส่ไว้กระโปรงท้ายรถ ไปพบจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เพื่อตรวจนับส่วนชุดที่ 2 ให้สิบตำรวจโทปิติขับรถกระบะเพื่อไปรับเมทแอมเฟตามีน หากเป็นเมทแอมเฟตามีนจริงให้ส่งสัญญาณโดยใช้มือลูบศีรษะ ดาบตำรวจเกษมจึงได้ขับรถยนต์ไปที่ลานจอดรถยนต์ของห้างสรรพสินค้าตามที่นัดหมาย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขับรถมาจอดบริเวณใกล้กับรถของดาบตำรวจเกษม โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั่งมาด้วย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เข้ามาพูดคุยกับดาบตำรวจเกษม จำเลยที่ 1 บอกว่าเตรียมเมทแอมเฟตามีนไว้พร้อมแล้ว แต่ยังไม่ตรวจนับเงินและจำเลยที่ 1 บอกรอเวลาให้มืดก่อน โดยจำเลยที่ 1 นัดดาบตำรวจเกษมให้ไปพบกันเวลา 18.30 นาฬิกา บริเวณหน้าโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม 2 เมื่อถึงเวลานัดหมายดาบตำรวจเกษมและสิบตำรวจโทปิติก็ไปตามที่นัดหมาย โดยจอดรถที่บริเวณริมถนนเชียงใหม่พร้าว ตรงข้ามกับโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม 2 ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ขับรถคันเดิมมาจอดไว้ที่หน้ารถของดาบตำรวจเกษม แล้วจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ลงจากรถมาพูดคุยกับดาบตำรวจเกษมและสิบตำรวจโทปิติ จำเลยที่ 1 ขอตรวจนับเงินก่อน ดาบตำรวจเกษมจึงพาจำเลยที่ 1 ไปตรวจนับเงินที่กระโปรงท้ายรถ เมื่อนับเงินเสร็จดาบตำรวจเกษมเก็บเงินไว้ที่เดิม จำเลยที่ 1 แจ้งว่าจะให้จำเลยที่ 2 พาสิบตำรวจโทปิติไปรับเมทแอมเฟตามีนที่บริเวณปั๊มน้ำมันคิวเอท อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นสิบตำรวจโทปิติได้ขับรถกระบะพาจำเลยที่ 2 ไปที่ปั๊มน้ำมันดังกล่าว ส่วนดาบตำรวจเกษมอยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยจำเลยที่ 1 ขับรถพาดาบตำรวจเกษมซึ่งหิ้วกระเป๋าเงินอยู่ไปที่ร้านอาหารเซ็นต์หลุยส์ สิบตำรวจโทปิติจอดรถรออยู่ประมาณ 10 นาที มีรถกระบะสีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน บจ 8822 เชียงใหม่ ขับมาจอดข้างรถ จำเลยที่ 2 พูดว่าอ้ายน้อยมาแล้ว จากนั้นจำเลยที่ 2 เดินลงจากรถไปเปิดประตูรถกระบะหยิบถุงดำขนาดใหญ่ 1 ถุง แล้วนำมาวางไว้ในรถคันที่สิบตำรวจโทปิติขับมา แล้วจำเลยที่ 2 บอกว่าออกรถไปได้เลย ร้อยตำรวจโทปิติยังไม่ยอมออกรถ แต่จะขอตรวจนับเมทแอมเฟตามีนก่อน เมื่อเปิดถุงดำออกมาดูพบว่าข้างในห่อด้วยถุงสีแดงอีกชั้นหนึ่ง ภายในถุงพบเมทแอมเฟตามีนหลายมัดแกะออกมาดูหนึ่งมัด พบซองสีฟ้าเข้ม 10 ซองในซองบรรจุเมทแอมเฟตามีนสีส้มมีสีเขียวปนเล็กน้อย พยานเชื่อว่าเป็นเมทแอมเฟตามีนจึงใช้มือลูบศีรษะเป็นสัญญาณให้เข้าทำการจับกุม ต่อมาร้อยตำรวจเอกกฤษดากับพวกจึงเข้าจับกุมจำเลยที่ 2 และที่ 4 และโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจอีกชุดหนึ่งจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 3 ชั้นจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสี่ว่า ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม เห็นว่า ในการติดต่อเจรจาซื้อขายได้ความว่า จำเลยที่ 3 ก็มาพร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทุกครั้ง และอยู่ในเหตุการณ์ขณะเจรจาซื้อขายเมทแอมเฟตามีนด้วยโดยเฉพาะการพบกันครั้งแรกที่ร้านอาหารเรือนแพ 2 จำเลยที่ 3 ได้ขอตรวจดูเงินที่จะใช้ซื้อเมทแอมเฟตามีนซึ่งอยู่ที่กระโปรงท้ายรถที่สิบตำรวจโทปิติขับมาด้วย จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดหาใช่เป็นแค่ผู้สนับสนุน ดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและคำให้การในชั้นสอบสวนซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้ทราบก่อนและไม่ได้แจ้งว่าจะไม่ให้การก็ได้ เป็นพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 มาตรา 134/1 และมาตรา 134/4 นั้น เห็นว่า มาตรา 84 มาตรา 134/1 และมาตรา 134/4 ได้มีการแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547 ซึ่งมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือนับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2547 เป็นต้นไป โดยไม่มีบทบัญญัติให้มีผลบังคับย้อนหลัง จึงไม่กระทบต่อ กระบวนวิธีพิจารณาความอาญาที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว ดังนั้น บทบัญญัติในมาตรา 84 วรรคท้าย ที่แก้ไขใหม่ มาตรา 134/1 วรรคหนึ่งที่แก้ไขใหม่ และมาตรา 134/4 วรรคหนึ่งที่แก้ไขใหม่ จึงหมายถึงคำให้การของผู้ถูกจับกุม และการสอบคำให้การผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนที่กระทำในภายหลังจากที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้วเท่านั้น แต่คำรับสารภาพของจำเลยที่ 4 ในชั้นจับกุมจำเลยให้ถ้อยคำเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2545 และการสอบคำให้การจำเลยที่ 4 ในชั้นสอบสวนได้กระทำเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น คำรับสารภาพในชั้นจับกุม และคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องห้ามใช้เป็นพยานหลักฐาน ฎีกาของจำเลยที่ 4 จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์