คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 พิพาทกันเมื่อปี 2504 มีเนื้อที่เพียง 2 ไร่ มิได้พิพาทกันรวมทั้งแปลงตามเนื้อที่พิพาทกันในคดีนี้ เฉพาะที่ดิน 2 ไร่ โจทก์เพิ่งมาฟ้องเมื่อเกินเวลา 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์อ้างว่าถูกจำเลยที่ 1 แย่งการครอบครอง ไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จึงย่อมเสียสิทธิที่จะเอาที่ 2 ไร่นั้นคืน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นาเนื้อที่ ๔๕ ไร่เศษ จำเลยสมคบกันเข้าไถที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ ๓๘ ตารางวา ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ สั่งให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เข้าไถที่พิพาทซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๒ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่นาโจทก์ พิพากษาห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ พิพาทกันเมื่อปี ๒๕๐๔ นั้น มีเนื้อที่เพียง ๒ ไร่ หาได้พิพาทกันรวมทั้งแปลงตามเนื้อที่พิพาทกันในคดีนี้ไม่ เฉพาะที่ดิน ๒ ไร่นั้น กรมการอำเภอสั่งให้โจทก์มาฟ้อง โจทก์เพิ่งมาฟ้องเมื่อเกินเวลา ๑ ปี นับแต่เวลาที่โจทก์อ้างว่าถูกจำเลยที่ ๑ แย่งการครอบครอง เมื่อไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ก็ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น
ส่วนข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ยึดถือครอบครองที่พิพาทตลอดมา
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ที่พิพาทด้านตะวันออกที่คู่ความพิพาทกันเมื่อปี ๒๕๐๔ เฉพาะเนื้อที่ ๒ ไร่ โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน ๑ ปี โจทก์จึงสิ้นสิทธิฟ้องร้องในที่ดิน ๒ ไร่ส่วนนี้แล้ว ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะที่ดินส่วนนี้เสีย ที่พิพาทนอกเหนือจากที่กล่าวนี้เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง

Share