แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การสงวนหรือหวงห้ามที่ดินพิพาท เป็นการสงวนหรือหวงห้ามไว้ก่อนมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 จึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายนี้ การที่ทางราชการได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ ไม่ใช่สารสำคัญ
ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในความครอบครองดูแลของกระทรวงศึกษาธิการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3)ด้วย กระทรวงศึกษาธิการซึ่งเป็นผู้ครอบครองดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดินรายนี้อยู่ในปัจจุบันย่อมมีสิทธิและอำนาจฟ้องผู้บุกรุกเข้ายึดถือที่ดินเพื่อเอาเป็นของตน ให้ออกไปจากที่ดินรายนี้ได้
ย่อยาว
คดีทั้ง 3 สำนวน ศาลพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามสำนวนขอให้ศาลสั่งว่าที่ดินพิพาททั้ง 3 สำนวน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ใช้สำหรับโรงเรียนรัฐบาล ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้ง 3 สำนวนให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลย ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่พิพาท ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป
จำเลยทั้ง 3 สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง 3 สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีฟังได้ว่าทางราชการอำเภอบัวใหญ่ได้สงวนและหวงห้ามที่ดินรายพิพาทมาก่อน พ.ศ. 2472 และการสงวนหรือหวงห้ามที่ดินรายนี้เป็นการสงวนหรือหวงห้ามไว้ก่อนมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 จึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายนั้น การที่ทางราชการจะได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ จึงไม่ใช่สารสำคัญ และฟังว่าที่พิพาทนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในความครอบครองดูแลของกระทรวงศึกษาธิการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) ด้วย กระทรวงศึกษาธิการซึ่งเป็นผู้ครอบครองดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดินรายนี้อยู่ในปัจจุบันย่อมมีสิทธิและอำนาจฟ้องร้องผู้บุกรุกเข้ายึดถือที่ดินเพื่อเอาเป็นของตนให้ออกไปจากที่ดินรายนี้ได้
พิพากษายืน