คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3428/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นอนุญาต แต่ตามฎีกาปรากฏว่า จำเลยที่ 1เป็นผู้ฎีกาแต่ผู้เดียว โดยทนายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทนายจำเลยที่ 2 ด้วยเป็นผู้ลงชื่อแทน แม้ฎีกาจะมีข้อความเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 อยู่ด้วย แต่เมื่อไม่ปรากฏรายชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ฎีกาด้วย ฎีกาดังกล่าวก็เป็นฎีกาของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว
ฎีกาที่คัดลอกแต่ข้อความในอุทธรณ์มาเป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สมุห์บัญชีเป็นผู้ควบคุมดูแลให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่วางไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ส่งมอบเงินให้สมุห์บัญชีแล้ว คณะกรรมการรักษาเงินจะตรวจสอบจากสมุห์บัญชีอีกต่อหนึ่งเป็นขั้นตอนไป เหตุทุจริตเกิดขึ้นเพราะสมุห์บัญชีไม่ควบคุมดูแลให้จำเลยที่ 1 ปฎิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่วางไว้ จำเลยที่ 4 ที่ 5 ในฐานะปลัดสุขาภิบาลและกรรมการรักษาเงิน ไม่มีความจำเป็นต้องล้วงไปตรวจสอบถึงการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ที่ 5 จึงมิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ร่วมกันรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 6 โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 4และที่ 5 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปรากฏตามสำนวนว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2ยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาอย่างคนอนาถา แต่ตามฎีกา ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ฎีกาแต่ผู้เดียว โดยทนายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็ทนายจำเลยที่ 2 อยู่ด้วยเป็นผู้ลงชื่อแทน แม้ฎีกาจะมีข้อความเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 อยู่ด้วย แต่เมื่อไม่ปรากฏรายชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ฎีกาด้วย ฎีกาดังกล่าวก็เป็นฎีกาของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว” ฯลฯ

“ส่วนปัญหาเรื่องอายุความนั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างเก็บค่ากระแสไฟฟ้าของโจทก์ไว้ไม่ส่งคืนโจทก์ เป็นฟ้องที่เรียกทรัพย์สินคืนจากผู้ไม่มีอำนาจยึดถือไว้ มิได้เรียกร้องค่าเสียหาย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยที่ 1 จึงมีอายุความ10 ปี จำเลยที่ 1 คงฎีกาโดยคัดลอกข้อความในอุทธรณ์มาเป็นฎีกา จึงเป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย” ฯลฯ

“ปัญหาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 4 ที่ 5 นั้น กระทรวงมหาดไทยได้วางระเบียบว่าด้วยการฝาก ถอน เบิกจ่าย รักษาและตรวจเงินสุขาภิบาลพ.ศ. 2498 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 ที่ 3 พ.ศ. 2499 และฉบับที่ 4 พ.ศ. 2504ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุคดีนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยดังกล่าวมีระเบียบวางไว้ดังนี้

“ข้อ 20 บรรดาเงินรายได้หรือเงินอื่นใดของสุขาภิบาลทุกหน่วยงานให้ประธานกรรมการสุขาภิบาล ปลัดสุขาภิบาล และสมุห์บัญชีสุขาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกันในการเก็บรักษาเงินดังกล่าวนี้ หากปรากฏว่ามีการทุจริตอันเกี่ยวกับการรักษาเงินดังกล่าวนี้ขึ้น ให้บุคคลดังกล่าวนี้ร่วมกันรับผิดชอบชดใช้เงินคืนให้แก่สุขาภิบาลจนครบ

ข้อ 26 ให้ประธานกรรมการสุขาภิบาลตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบการรักษาเงินไว้ ณ สำนักงานไม่น้อยกว่า 3 คน คนหนึ่งในจำนวน 3 คนนั้นต้องเป็นหัวหน้าหน่วยการคลังโดยตำแหน่ง

ให้กรรมการรักษาเงินตามความในวรรคก่อน จัดการตรวจสอบบรรดาหลักฐานการรับจ่ายเงินทั้งหมด เมื่อสิ้นการรับจ่ายเงินในวันหนึ่ง ๆ โดยจะต้องทำการตรวจจำนวนเงินรับจ่ายสอบกับหลักฐานต่าง ๆ ที่ใช้เก็บเงินและใช้จ่ายเงินในวันนั้น ตลอดจนการคำนวณของเจ้าหน้าที่ด้วยว่าคำนวณไว้ถูกต้องเพียงใด เมื่อถูกต้องตรงกัแล้ว ให้กรรมการรักษาเงินทุกคนลงนามรับรองไว้เป็นหลักฐานในบัญชีเงินสด ทั้งนี้ต้องร่วมกันรับผิดชอบตามความในข้อ 20 อีกทางหนึ่งด้วย”

ศาลฎีกาเห็นว่า ระเบียบกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวเป็นระเบียบที่ว่าด้วยการฝาก ถอน เบิกจ่าย รักษาและตรวจเงินที่เข้ามาอยู่ในความครอบครองของสุขาภิบาลแล้ว แต่จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เบียดบังยักยอกไปนี้เป็นเงินที่จำเลยที่ 1 เก็บจากผู้ใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์แล้วนำส่งไม่ครบ หรือไม่นำส่งเลย เหตุที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติเช่นนี้ได้ก็เพราะสมุห์บัญชีสุขาภิบาลไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่วางไว้ ไม่เรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1ทุกวัน ไม่เรียกใบเสร็จรับเงินที่ยังเก็บเงินไม่ได้คืนจากจำเลยที่ 1 มาตรวจสอบกับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกเก็บได้ เพื่อตรวจสอบดูกับจำนวนเงินตามใบเสร็จทั้งหมดที่จำเลยที่ 1 รับมอบไปว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์เองก็เห็นได้ว่า เหตุเกิดเพราะสมุห์บัญชีไม่ควบคุมดูแลให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่วางไว้ จำเลยที่ 4 ที่ 5 ในฐานะปลัดสุขาภิบาลและกรรมการรักษาเงินไม่มีความจำเป็นต้องล้วงไปตรวจสอบถึงการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เพราะมีสมุห์บัญชีเป็นผู้ควบคุมอยู่แล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ส่งมอบเงินให้สมุห์บัญชีแล้ว ต่อจากนั้นคณะกรรมการรักษาเงินจะตรวจสอบจากสมุห์บัญชีอีกต่อหนึ่ง เป็นขั้นตอนไป จำเลยที่ 4 ที่ 5 จึงมิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบกับจำเลยที่ 1 หนี้จำนวนดังกล่าวเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3ที่ 6 และที่ 7 ซึ่งมิได้ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245 และ 247″ ฯลฯ

“พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 180,893 บาท36 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ใช้ ให้จำเลยที่ 2 ใช้แทนจนครบให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาและค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share