คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 458/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีไม่ทำมาหากินอย่างใด ภรรยาบอกให้ทำงานมาเลี้ยงครอบครัวก็โกรธและขนของออกจากบ้านไปได้หญิงอื่นเป็นภรรยาในเวลากระชั้นชิดไปแล้วก็ไม่ส่งเงินเลี้ยงดูภรรยากับบุตรเลย แสดงว่าสามีจงใจละทิ้งภรรยาภรรยาก็ไม่มีความจำเป็นต้องติดตามไปอยู่กับสามีสามีจะอ้างว่าตนเป็นฝ่ายมีสิทธิจะเลือกภูมิลำเนา ให้ภรรยามีหน้าที่ติดตามไปอยู่กับตนหาได้ไม่เมื่อสามีทิ้งร้างไปเกิน 1 ปี ภรรยาก็มีสิทธิขอหย่าได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอหย่ากับจำเลย ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์จำเลยได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน แล้วอยู่กินกันที่บ้านบิดามารดาโจทก์เกิดบุตรด้วยกัน 1 คน เมื่อบุตรอายุได้ 1 ขวบ โจทก์ไม่เห็นจำเลยทำมาหากินอย่างใด จึงบอกให้จำเลยไปทำมาหากิน จำเลยโกรธ เกิดทะเลาะกันแล้วจำเลยก็ขนเสื้อผ้าข้าวของออกจากบ้านโจทก์ไปอยู่บ้านจำเลยต่อมาจำเลยได้นางเจ๊กเป็นภรรยา เกิดบุตรด้วยกัน 3 คน เมื่อจำเลยออกจากบ้านโจทก์ไปแล้วไม่เคยมาเยี่ยมเยียนโจทก์หรือบุตร ทั้งไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์กับบุตรจนบัดนี้ 10 ปีเศษแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย กับให้จำเลยส่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโจทก์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นสามีโจทก์ จึงเป็นฝ่ายมีสิทธิจะเลือกภูมิลำเนาได้ โจทก์มีหน้าที่จะต้องติดตามไปอยู่กับจำเลย

ศาลฎีกาเห็นว่า ในฐานะที่สามีเป็นผู้ทำเลี้ยงครอบครัวสามีก็ชอบที่จะเป็นผู้เลือกที่อยู่ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจำเลยเลือกที่อยู่ให้โจทก์ หากเป็นเรื่องจำเลยละทิ้งโจทก์ โดยจำเลยไม่หาเลี้ยงครอบครัว โจทก์บอกให้จำเลยทำงานมาเลี้ยงครอบครัวจำเลยโกรธจึงออกจากบ้านไปได้นางเจ๊กเป็นภรรยาในเวลากระชั้นชิดกันนั้น เมื่อไปแล้วก็ไม่เคยส่งเงินเลี้ยงดูโจทก์หรือบุตรเลยแสดงให้เห็นชัดว่า จำเลยจงใจละทิ้งโจทก์ ๆ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องติดตามไปอยู่กับจำเลย เมื่อจำเลยทิ้งร้างไปเกิน 1 ปี โจทก์ก็มีสิทธิขอหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(3)

พิพากษายืน

Share