คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1889/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้ทราบหมายเรียกและสำเนาฟ้องของโจทก์แล้ว มาเบิกความอันเป็นเท็จว่าไม่ทราบเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อและอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ และเป็นผลให้จำเลยชนะคดีโจทก์ในที่สุดนั้น ความเท็จที่จำเลยเบิกความถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือเป็นคำร้องเท็จและเบิกความเท็จต่อศาลว่าจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การตามกำหนดก็โดยจำเลยไปต่างจังหวัด เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อและสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การแก้คดีขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗ และ ๑๘๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องเห็นว่าคดีมีมูล จึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗ จึงพิพากษาลงโทษจำคุก จำเลย ๑ ปี ปรับ ๑,๐๐๐ บาท แต่มีเหตุอันควรปราณี จึงให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานเอกสารและพยานบุคคลขัดแย้งกัน และโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องเมื่อใด จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นสำคัญในเบื้องต้นจึงอยู่ที่ว่า คำร้องและคำเบิกความของจำเลยเป็นความเท็จหรือไม่ คำพยานโจทก์พอฟังได้ว่าจำเลยได้ทราบถึงหมายเรียกและสำเนาฟ้องในคดีแพ่งของศาลจังหวัดนครปฐมตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม ๒๕๐๑ นั้นแล้ว ที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่าไม่ทราบถึงหมายเรียกและสำเนาฟ้อง เพิ่งทราบเมื่อกลับบ้านในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๐๑ หรือที่จำเลยเบิกความว่าเพิ่งทราบเมื่อกลับบ้านตามวันดังกล่าวจึงเป็นความเท็จและเหตุที่จำเลยที่ยื่นคำร้องและเบิกความอันเป็นเท็จนี่เอง ศาลจึงได้หลงเชื่อและอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและเข้าต่อสู้คดีกับโจทก์ได้อย่างเต็มที่ อันเป็นผลให้จำเลยชนะคดีโจทก์ได้ในที่สุด ฉะนั้น ความเท็จที่จำเลยเปิดความต่อศาลจึงเป็นหน้าที่ข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงต้องมีความผิดดังที่โจทก์ฟ้อง ฏีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share