แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยนำบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดไปใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2541 และวันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 โจทก์ส่งใบแจ้งยอดบัญชีกำหนดให้ชำระเงินคืนโจทก์ภายในวันที่ 25 พฤษภาคม และวันที่ 2 มกราคม 2541 ตามลำดับเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่โจทก์กำหนด โจทก์ย่อมใช้บังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระได้เมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งยอดบัญชีและเริ่มนับอายุความแห่งสิทธินับแต่นั้นมา ต่อมาจำเลยชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2541 และวันที่ 6 ตุลาคม 2541 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) และมาตรา 193/15 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 จึงพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่เริ่มนับอายุความใหม่ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ แม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์แจ้งยอดบัญชีให้จำเลยชำระตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 ตามลำดับก็ตามแต่เมื่อหลังจากที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้แล้ว จำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตของโจทก์และโจทก์ก็มิได้ออกเงินทดรองให้แก่สถานประกอบกิจการต่าง ๆ แทนจำเลยอีก ใบแจ้งยอดหนี้ที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมาล้วนเป็นการคิดบวกดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัดและเบี้ยปรับที่ชำระล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์เท่านั้น การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเมื่ออาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผ่อนผันไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเอง มิใช่โจทก์ไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ อายุความคดีจึงหาได้เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดตามใบแจ้งยอดหนี้ครั้งสุดท้ายโดยไม่ผ่อนผันให้แก่จำเลยอีกต่อไปไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตจำนวน 91,429.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปีจากต้นเงิน 44,342.13 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงประการเดียวว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์รวม 2 ใบ คือบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดและยินยอมผูกพันตามเงื่อนไขของผู้ถือบัตร จำเลยสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าชำระค่าบริการและเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า โดยตกลงให้โจทก์ทดรองจ่ายเงินแก่สถานประกอบการค้าหรือบริการไปก่อนแล้วโจทก์จึงแจ้งยอดหนี้เรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลัง หากจำเลยไม่ชำระเงินให้ครบถ้วนตามวันที่ที่โจทก์ระบุในใบแจ้งยอดบัญชียินยอมชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารพาณิชย์จะเรียกเก็บได้จากผู้กู้ยืมตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น และยินยอมให้โจทก์เรียกเบี้ยปรับเพื่อการชำระหนี้ล่าช้าในอัตราที่โจทก์กำหนดอีกด้วย หลังจากโจทก์ออกบัตรเครดิตให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยได้นำบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดไปใช้จ่ายค่าสินค้าและค่าบริการซึ่งโจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยไปก่อนทุกครั้งพร้อมทั้งส่งใบแจ้งยอดบัญชีให้จำเลยนำเงินไปชำระให้โจทก์ทุกเดือนตลอดมา จำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2541 ครบกำหนดชำระหนี้ตามใบแจ้งยอดบัญชีภายในวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 และวันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ตามใบแจ้งยอดบัญชีภายในวันที่ 2 มกราคม 2541 ตามลำดับ ระหว่างนั้นจำเลยชำระหนี้บางส่วนตามบัตรเครดิตทั้งสองใบตลอดมาและชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2541 และวันที่ 6 ตุลาคม 2541 ตามลำดับ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยนำบัตรซิตี้แบงก์วิซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดไปใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2541 และวันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 และโจทก์ส่งใบแจ้งยอดบัญชีกำหนดให้จำเลยชำระเงินคืนโจทก์ภายในวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 และวันที่ 2 มกราคม 2541 ตามลำดับ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่โจทก์กำหนด โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระได้เมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งยอดบัญชีและเริ่มนับอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์นับแต่นั้นมา ต่อมาจำเลยชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2541 และวันที่ 6 ตุลาคม 2541 ตามลำดับ อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) และมาตรา 193/15 โจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 จึงพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 30 กันยายน 2541 และวันที่ 6 ตุลาคม 2541 ซึ่งเป็นวันเริ่มนับอายุความใหม่แล้วฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์แจ้งให้จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ด กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ภายในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 ตามลำดับ แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดดังกล่าว อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2542 และวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2542 ตามลำดับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้เมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งยอดบัญชีดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น หลังจากนั้นจำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตของโจทก์และโจทก์ก็มิได้ออกเงินทดรองให้แก่สถานประกอบกิจการค้าต่าง ๆ แทนจำเลยอีกใบแจ้งยอดบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมาล้วนเป็นการคิดบวกดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัดและเบี้ยปรับที่ชำระล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์เท่านั้นการที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเมื่ออาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผ่อนผันไม่ใช่สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเองมิใช่โจทก์ไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้อายุความคดีนี้จึงหาได้เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้แก่จำเลยอีกต่อไปดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน